นักโทษประหารยิงเป้าที่ยิงแล้วแต่ไม่ยอมตาย

Prisoner of Death shot a target that shot but did not die.

prisoner1                นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน หญิงไทยชาวโคราชคนหนึ่ง ที่ได้มีการบันทึกเรื่องราวของคดีลักพาตัวเด็กไปเรียกค่าไถ่ เรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์ไทยเรื่องหนึ่งที่มีผู้คนสนใจและติดตามเป็นจำนวนมาก ประวัติส่วนตัวของนางกิ่งแก้ว และรายละเอียดส่วนใหญ่แล้วจะมีในหนังสือของต่างประเทศ เรื่องราวของหญิงไทยที่ถูกไปตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ เมื่อใน พ.ศ. 2519 มีคดีดังของนางกิ่งแก้วที่เปิดเผยออกทั่วโลก และผลตอบรับนั้นคือมีผู้คนติดตามข่าวสารเป็นจำนวนมาก ในเนื้อเรื่องบอกเล่าว่านางกิ่งแก้ว เดิมทีเป็นคนโคราชและได้เข้ามาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในกรุงเทพ เด็กชายที่ถูกฆ่ามีอายุ 6 ขวบ วันที่ก่อเหตุ นางกิ่งแก้ว ไปรับน้องที่โรงเรียนคุณครูก็ไมได้สงสัยอะไรเพราะ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่นางกิ่งแก้วจะไปรับเด็กที่โรงเรียน เมื่อพาเด็กไปได้แล้วนางกิ่งแก้วและเพื่อนชายของเธออีก 2 คนได้ติดต่อไปยังพ่อกับแม่ของเด็ก และนัดเจอกันเพื่อเอาเงินและแลกกับตัวเด็ก เมื่อถึงเวลานัดพ่อกับแม่เด็กเกิดผิดพลาดในการส่งเงิน คนร้ายจึงโมโหมากกลับมาถึงที่พัก ก็ตุบตีเด็กและเอามีดแทงเข้าที่เด็ก จากนั้นจึงนำตัวเด็กไปฝั่งในดินหลังบ้านที่พักเพื่อนชายทั้ง 2 คนหลบหนีไป แต่ในเวลานั้นเป็นเวลาเดียวกันกับเด็กโดนแทง นางกิ่งแก้วออกไปซื้อของและอาหาร ไม่รู้แต่เมื่อกลับมาจากการไปซื้อของกลับมาก็ไม่เจอใครเลย และนางกิ่งแก้วจึงคิดว่าต้องเกิดอันตรายกับเด็กแน่ๆ จึงได้หาเด็กรอบบ้าน จนมาเจอเศษดินหลังบ้านกระจุยกระจาย นางกิ่งแก้วจึงขุดหลุมดินหลังบ้านและเจอเด็กชายไม่หายใจแล้ว เมื่อส่งศพตรวจพิสูจน์หลักฐานปรากฏว่าหมอบอกว่ามีเศษดินที่เข้าไปอยู่ในปอดเด็ก นั้นแปลว่าตอนที่ฝังเด็กนั้นเด็กยังไม่ตาย ศาลตัดสินให้นางกิ่งแก้วประหารชีวิตโดยการยิงเป้า ตอนนำตัวนางกิ่งแก้วไปประหารเธอเหม่อลอยพูดเพ้ออยู่เพียงแค่ว่า ” ฉันไม่ผิด..ฉันไม่ได้ทำ ” เพชฌฆาตยิงกระสุนชุดแรก 15 นัด แต่น่าตกใจอย่างมากเพราะ นางกิ่งแก้วยังไม่ตาย เพชฌฆาตจึงต้องรีบยิงกระสุนอีก 15 นัด กระสุนที่ใช้ในการหยุดลมหายใจของนางกิ่งแก้วต้องใช้ถึง 2 ชุดด้วยกัน เนื่องจากหัวใจของนางกิ่งแก้วไม่ได้อยู่ข้างซ้ายแต่อยู่ที่ข้างขวา เจ้าหน้าที่ทุกคนเล่าว่านางกิ่งแก้วรักเด็กคนนี้มาก ตอนที่รอการตัดสินโทษเธอจะพูดอยู่แค่ว่า” ฉันไม่ผิด..ฉันไม่ได้ทำ ” หลังจากนั้นนักโทษคนอื่นๆ มักจะเห็นวิญญาณของนางกิ่งแก้วมาหลอกมาหลอนอยู่ในเขตกำแพงข้างในบริเวณเรือนจำอยู่เสมอ

กรุงธนบุรีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

Thonburi King Taksin the Great

takภายหลังการสูญเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ก็ได้เกิด อาณาจักรธนบุรี เป็นอาณาจักรของคนไทยช่วงสั้นๆ พระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หลังจากได้กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนจากพม่าได้แล้ว พระเจ้าตากสินทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายมาก ยากที่จะฟื้นฟูให้เหมือนเดิม พระองค์จึงย้ายเมืองหลวง มาอยู่ที่กรุงธนบุรี แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์

การปกครองพระเจ้าตากยึดเอาแบบสมัยพระบรมไตรโลกนาภคือแบ่งส่วนราชการ

  1. การปกครองส่วนกลาง มี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหนายก และสมุหพระกลาโหม การบริหาร เป็น 4 กรม คือ เวียง วัง คลัง นา
  2. การปกครองส่วนภูมิภาค ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและก็หัวเมืองประเทศราช

สาเหตุที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี เนื่องจาก กรุงศรีอยุธยาชำรุดเสียหายมากจนไม่สามารถจะบูรณะให้เหมือนเดิมได้ กำลังพลมีน้อยจึงไม่สามารถรักษากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองใหญ่ได้ ทำเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาทำให้ข้าศึกโจมตีได้ง่ายเพราะข้าศึกรู้เส้นทางการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาดี

ในช่วงปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทรงหมกมุ่นในการนั่งวิปัสนากรรมฐาน จนเข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบันแล้ว ทรงบังคับให้พระสงฆ์มากราบไหว้พระองค์ หากไม่ปฏิบัติตามก็ทรงลงโทษอย่างหนัก สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จนพระยาสรรค์ก่อการกบฏ บังคับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผนวช   สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทราบข่าวจึงยกทัพกลับจากการไปตีเขมร และได้ขึ้นเป็นกษัตริย์

กรุงธนบุรีเป็นการปกครองที่สั้นที่สุดเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้นและมีพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นด้วยคือ พระเจ้าตากสินมหาราช คือการจบสมัยของกรุงธนบุรีเพียงเท่านี้ และพระพุทธยอกฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ย้ายไปตั้งราชธานีที่ กรุงรัตนโกสินทร์

อัจฉริยะของโลกอยู่ที่มุมมอง

The genius of the world is at the view.

p16o86aiq43ht7991jefbb044q3                ถ้าหากว่าคุณพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ อ่านหนังสือออกตอน 8 ขวบ เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ถูกอาจารย์หาว่า สมองช้าไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝัน แต่ว่าบุคคลนี้แหละเป็นหนึ่งคนที่เขียนหน้าประวัติศาสตร์โลก รู้รึยังว่าเขาเป็นใคร

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะระดับโลก ผู้เป็น บิดาแห่งปรมาณู

ไอน์สไตน์ เป็นเยอรชันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน เส้นทางจากเด็กที่ มีแต่คนมองว่าเป็นพวกมีปัญหา ด้อยปัญญา ไร้ความสามารถ ก้าวเข้าสู่การเป็นสุดยอดอัจฉริยะได้

อย่างที่ทุกคนทราบ ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ สาขา ฟิสิกส์ เมื่ออายุ 26 ปี เขาได้ตีพิมพ์การค้นพบสมการ

E = mc 2 (E คือพลังงาน m คือมวล c คือความเร็วของแสง) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามวลขนาดเล็ก สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลได้ สมการนี้นำไปสู่การสร้างระเบิดนิวเคลียร์ เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน

คนที่ค้นพบปฏิกิริยาแบ่งแยกนิวเคลียสเป็นชาวเยอรมันชื่อว่าอ๊อตโต ฮาห์น กับฟริตซ์ ชตราสมันน์ พวกนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์เป็นโหลที่หนีภัยสงครามจากยุโรปมาพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาจึงกลัวกันว่าเยอรมันนาซีจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์มาใช้ในสงคราม ทำให้ไอน์สไตน์กลายเป็นที่ปรึกษาให้กับทางอเมริกาและสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จก่อนเยอรมัน ที่นำไปใช้กับประเทศญี่ปุ่น เกาะ ฮิโรชิม่า และ นากาซากิ

ไอน์สไตน์ถึงแก่กรรมที่ พรินซ์ตัน นิวเจอร์ซีย์ ด้วยโรคหัวใจวาย ในเดือนเมษายน ค.ศ.1955 จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต เขายังคงชิงชังวิธีการทำลายล้าง อันน่าสะพึงกลัว ของระเบิดนิวเคลียร์

จากวัยเด็กที่ผู้อื่นมองว่าเป็นคนไม่มีความสามารถก้าวเข้าสู่แถวหน้าของความเป็นอัจฉริยะ ไอน์สไตน์ ได้รับยกย่องเป็น “บุคคลแห่งศตวรรษนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล”โดยนิตยสาร Time

เยอรมันนาซีกับสงครามโลก

German Nazi vs. World War II

hitler1                หากพูดถึงผู้นำและกองกำลังที่แข็งแกร่ง ที่มีผลต่อประวัติศาสตร์โลก ที่อาจจะได้เป็นผู้นำของโลกได้ อาจจะเป็นเยอรมัน ที่นำโดยนาซี ถ้าหาก สงครามโลกในครั้งที่ 2 นั้นไม่เปิดสงครามกับสองประเทศพร้อมกัน เนื่องจากในยุคสมัยนั้น รถถังของ ทางเยอรมันเรียกได้ว่าแทบจะเป็นจุดสูงสุดของวิวัฒนาการ ถัดมาเป็น เครื่องบิน มี 2 แบบ คือเครื่องบินไอพ่น นับว่าเป็นประเทศที่ทำเครื่องบินไอพ่นประเภทขับไล่ สำเร็จเป็นประเทศแรกของโลก และทำความเร็วได้ 600 ไมล์ต่อชั่วโมงซึ่งเร็วที่สุดในยุคสมัยนั้น ทำให้เครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรเป็นได้แค่เพียงเป้าบินให้ซ้อมยิง ถัดมาคือเครื่องบินเจ็ตทิ้งระเบิด ซึ่งเป็นประเทศที่ทำขึ้นเป็นเครื่องแรกของโลกอีกเช่นเดียวกันแต่แค่ศักยภาพเพียงเท่านี้คงไม่เพียงพอที่จะทำให้เป็นผู้นำโลกได้ สิ่งที่ทำให้ นาซี ยิ่งใหญ่ได้คือ ทหารที่จงรักภักดี หน่วยสังหารที่ชื่อ SS หรือ SchutzStaffel ที่มีประสิทธิภาพในการรบสูงสุดของเยอรมัน โดยกองกำลังนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกองกำลังป้องกันและอารักขา ผู้นำของเขา คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่จะทำทุกอย่างภายใต้การสั่งการโดยปราศจากการถาม ซึ่งผู้ที่เป็นหัวหน้าของ กองกำลังนี้คือ ไฮน์ริชฮิมเลอร์ ซึ่งมีกำลังพลถึง 1 ล้าน คนเลยทีเดียว

เคยลองคิดหรือไม่ถ้าหากเยอรมันเป็นผู้ที่ชนะศึกในสงครามโลกที่2 ตอนนี้โลกเราจะเป็นอย่างไร แต่ยังไงก็คงเป็นไปไม่ได้ สาเหตุหลักๆ ที่ นาซี พ่ายในสงคราม คือการที่เปิดศึกกับรัสเซีย โดยที่ยังทำสงครามกับประเทศอังกฤษไม่จบ ทั้งยังใช้เวลาในการรบที่ยาวนาน และพันธมิตรที่เลือกมาก็ไม่ได้มีความสามารถทางการทหารเท่าไหร่นัก

องค์ประกอบของสงครามมันมีหลายอย่างกำลังมากจะไม่ได้ชัยชนะหากประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป  กำลังน้อยใช่จะพ่ายแพ้หากรู้จุดอ่อนจุดแข็งของคู่ต่อสู้แล้วนำมาปรับใช้ให้ถูกทางการสงคราม ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่ละคนที่จะนำไปใช้และสร้างประโยชน์ให้กำลังฝ่ายตน ในประวัติศาสตร์สงครามผู้ชนะคือผู้ที่ได้เขียนหน้าประวัติศาสตร์แต่สุดท้ายสงครามก็ทำให้ทุกฝ่ายเป็นผู้สูญเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมากหรือน้อย

 

 

 

 

ตำนานที่ยิ่งกว่าตำนานของประวัติศาสตร์โลก

Cemetery

temungjin

วีรชนมากมายในแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่หนึ่งเดียวของโลกที่ส่งผลจนถึงปัจจุบัน ทอดตาดูทั่วทั้งแผ่นดินผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งประวัติศาสตร์คงจะหนีไม่พ้นคนๆนี้ เพราะภายใต้การนำของบุรุษผู้นี้ อาณาจักรกว้างใหญ่ไพรศาลเกือบครึ่งค่อนโลกเลยที่เดียว ว่ากันว่าใหญ่กว่า สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ 4 เท่าอาญาจักรโรมัน 2เท่า พอจะคาดเดาได้แล้วใช่ไหมว่า ตำนานของตำนานผู้นี้คือใครไม่ได้นอกจาก เจงกีสข่าน ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่ดังมหาสมุทร นามเดิมเรียกกันว่า เตมูจิน

ชีวิตในวัยเด็กของ เตมูจิน นั้นโลดโผนมาก แต่งงานตั้งแต่ 8 ขวบ (ไวมากๆ8ขวบมีเมียและ) กับ บอเต ซึ่งมีอายุมากกว่า เตมูจิน เมื่ออายุเข้าสู่วัยฉกรรจ์ บิดา โดนวางยาพิษจากเผ่าอื่น หลังจากบิดาตาย พี่ชายต่างแม่ก็เป็นใหญ่แทนและได้กดขี่ข่มเหงเตมูจิน เอาแม่เตมูจินทำเมีย ทำให้เตมูจินวางแผนกับน้องชายแทนๆฆ่าพี่ชายต่างแม่ (แม่เตมูจินเป็นเมียคนที่ 3)หลังจากนั้นตัวเองซึ่งทำให้ต้องต่อสู้กับเผ่าต่างๆ ที่เป็นอริกันอยู่นาน แล้วก็โดนจับไปเป็นทาส (ก่อนเป็นใหญ่นี่ชีวิตรันทดมากๆ) แล้วก็หนีจากการเป็นทาส หลังจากนั้นโดนจนกระทั่งได้รวบรวมนักรบเผ่าต่างๆ ที่ได้จากการชนะเผ่าอื่นๆไว้ด้วยกัน (ความสามารถล้วนๆ)และตามฆ่าล้างเผ่าที่วางยาบิดา ต่อจากนั้นก็ตามฆ่าล้างเผ่ามองโกล อื่นจนสิ้น (โหดมาก)

โดยการเอาความคิดที่ว่า ชนเผ่าที่เข้มแข้งปกครองชนเผ่าที่อ่อนแอกว่า อย่างหนึ่งในความสามารถของกองทัพเตมูจิน ที่เรารู้จักกันดี คือ การขี่ม้ายิงธนูที่เก่งเป็นอันดับหนึ่งไม่มีใครเทียบ สงครามทำให้ผู้คนมองเจงกีสข่านเป็นคนป่าเถื่อน แต่จริงๆแล้วเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เนื่องจากเอาอดีตมาผสมผสานกับยุคที่ตัวเองอยู่ เช่น ยกเลิกผลตอบแทนแบบสายเลือด ตอบแทนโดยใช้ความภักดี ซื่อสัตย์แทน ฆ่าคนที่หนี ก่อนแล้วค่อยเก็บของ เก็บผลประโยชน์เข้ากองกลางแล้วแบ่งตามผลงาน ฆ่าหัวหน้าเผ่าอื่น แล้วเอาลูกน้องมาเป็นลูกน้อง จัดกำลังพลเป็นหมวดหมู่ และคิดยุทธวิธีสลับกันยิงธนู 2 แถวหน้ากระดาน

คิดๆดูแล้วสุดยอดใช่ไหมละ เจงกิสข่าน กว่าจะยิ่งใหญ่ได้ต้องลำบากขนาดไหน อาจจะดูโหดเหี้ยมไปบ้าง แต่สถานการณ์สร้างคน และคนๆนี้ ได้สร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่ไว้มากมาย มอบความรักให้กับคนที่ซื่อสัตย์และภักดีมากกว่า เลือดเนื้อเชื้อไข

วีรสตรีไทยที่ไม่มีใครไม่รู้จัก

History-Ya-mo

taowsuranari

หากพูดถึงวีรสตรีไทย อันดับต้นๆที่ต้องนึกถึงคือท่านคนนี้ท้าวสุรนารี หรือ ย่าโม อีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกัน ตาม

ประวัติศาสตร์ท่านเป็นผู้กอบกู้ เมืองโคราช จากเจ้าอนุวงษ์ จากเวียงจันทร์ ท่านเป็นที่เคารพนับถือจาก คนนครสีธรรมราชเป็นอย่างมากเป็นศูนย์รวมจิตใจเลยก็ว่าได้ ย่าโม มีพี่สาวหนึ่งคน น้องชายหนึ่งคน ได้แต่งงานกับพระยาสุรเดชเดชาฤทธิทศทิศวิชัยหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าปลัดทองคำ ตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาราชการเมือง ย่าโมเป็นคนใจดี แต่ไม่มีบุตรธิดา ทำให้ชาวบ้าน เข้ามาฝากตัวเป็น บุตรและธิดากันมากมาย

วีรกรรรมของวีรสตรีผู้นี้ อาจหาญมากเกินกว่าชายชาตรีบางคนเสียอีก เมื่อปี พ.ศ. 2369 ได้มีการยกทัพบุกเมืองไทยจากประเทศลาว โดยเจ้าอนุวงศ์ ในคราวนั้น ตามประวัติศาสตร์เนื่องจาก ปลัดทองคำได้ไปงานราชการต่างประเทศ ที่เขมร

ทำให้ที่เมืองโคราชมีเพียง ย่าโม และชาวบ้านอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อ เจ้าอนุวงศ์ ได้ยกทัพเข้ามาก็ กวาดเอาไปเป็นเชลยศึกทั้งสิ้น

ในคราวนี้เอง ที่ ย่าโมได้เป็นผู้นำของชาวบ้านเข้าต่อสู้กับทหารลาว ภายใต้การนำของท่าน ทหารลาวได้ล้มตายไปเป็นอย่างมาก ทำให้ทัพข้าศึกแตกพ่าย ที่ ทุ่งสัมฤทธิ์ ช่วยให้ประเทศไทยได้เมืองนครศรีธรรมราชหรือโคราชกลับมา จากวีรกรรมครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.3) ได้พระราชทานบำเหน็จ แต่งตั้ง เป็นท้าวสุรนารี และพระราชทานเครื่องยศทองคำประดับเกียรติ อันได้แก่ ถาดทองคำใส่หมาก จอกหมากทองคำตลับทองคำ เตาปูนทองคำ คนโททองคำ ขันน้ำทองคำ

หลังจากสิ้นอายุขัย หรืออสัญกรรม ชาวบ้านพร้อมใจกันนำอัฐิของท้าวสรุนารี พร้อมสร้างอนุสาวรีย์ และนำอัฐิประดิษฐานไว้ข้างใน ที่หน้าประตูเมืองชุมพลด้านทิศตะวันตกของโคราชเข้าหากรุงเทพฯ ทั้งนี้ทั้งนั้นท้าวสุรนารี เป็นวีรสตรีคนแรกที่ได้รับการสร้าง อนุสาวรีย์

บุรุษผู้ยิ่งใหญ่จอมจักรพรรดิกับความลับที่ไม่มีใครรู้

Legend beyond the myth of world history.

pgsrdgferfg จิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ ผู้เดียวที่สามารถรวบรวมประเทศจีน ทั้ง 7 แคว้น เป็นปึกแผ่นเป็นจักรพรรดิองค์แรก ที่ก้าวขึ้นสู่มหาอำนาจนี้ได้ ชื่อเดิม คือ อิ๋งเจิ้ง อาศัยอยู่ในอาณาจักรรัฐ ฉิน แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ ในช่วงพระชนม์ชีพทรงพระเยาว์ของจิ๋นซีฮ่องเต้ ในหน้าประวัติศาสตร์นั้นล้วนแล้วแต่ว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยการบันทึกใดๆ สิ่งเดียวที่มีการบันทึกอยู่ใน ช่วงวัยเยาว์คือ มีพระอนุชา 3 พระองค์ องค์แรกเข้าร่วมกันกบฏ อีกสองพระองค์ถูกฆ่าตายทั้งเป็น เพราะอะไรถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องราวเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาที่นักวิชาการส่วนใหญ่ยังคงตั้งข้อสงสัยจนถึงปัจจุบัน ว่าเพราะอะไร พระอนุชาของพระองค์ถึงเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏและทำไมพระองค์ถึงต้องฆ่าพระอนุชาด้วย อีกหนึ่งปริศนา ของประเทศจีนที่เหมือนจะยังไม่มีใครรู้ ฮองเฮาของจิ๋นซีฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่คือใคร นางสนมนางกำนัลประจำวังหลังของจิ๋นซี ล้วนแล้วแต่ไม่ปรากฏ

พระแซ่พระนามแต่อย่างใด เพราะอะไรประวัติศาสตร์เรื่องราวเหล่านี้จึงหายไปจากหน้าประวัติ จอมจักรพรรดิได้ ในประสองพันกว่าปีไม่มีใครทราบเรื่องนี้ เอกสารทางข้อมูลเพียงอย่างเดียวที่พบคือ เดือน 9 ฝังพระศพจิ๋นซีฮ่องเต้ที่หลีซาน ฉินรัชกาลที่ 2 กล่าวว่า “วังหลังของฮ่องเต้พระองค์ก่อนไร้บุตรธิดา ไม่เหมาะจะปล่อยออกมานอกวัง ให้ฝังทั้งเป็นตายตามฮ่องเต้ทั้งสิ้น ผู้สิ้นชนม์ตามมีค่อนข้างมาก” ถ้าอาศัยข้อความฉบับนี้ (คิดว่าน่าจะสมบูรณ์ที่สุดแล้ว) อาจจะคาดเดาได้สองอย่าง คือ

ประการแรก วังหลังของจิ๋นซีฮ่องเต้ ไม่มีบุตรธิดา นำมาฝังให้ตายทั้งเป็นให้หมด

ประการที่สอง วังหลังของจิ๋นซีฮ่องเต้ นำเฉพาะผู้ที่ไม่มีบุตรและธิดา มาฝังให้ตายทั้งเป็นให้หมด

แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการขุดค้นพบสุสานของบุตร ธิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้อยู่ประมาณ 20 พระองค์ ซึ่งทำให้คาดเดาได้ว่า พระองค์นั้น ไม่ได้ไร้ซึ่งนางสนมเพียงแต่อย่างใด ส่วนใครเป็นฮ่องเฮาจอมจักรพรรดิผู้นี้ยังคงต้องสืบหากันต่อไป

 

 

วีรชนผู้กล้าแห่งเมืองสยาม

Heroes of Siam-ban

มีวีรชนมากมายที่ล้วนแล้วแต่ฝากชื่อเสียงในเลื่องลือ ในอดีตจนมาถึงยุคปัจจุบัน ถ้าหากเราลองมองย้อนกลับไปแล้ว

ที่เรายังคงมีประเทศอยู่เป็นเอกราชก็เพราะ กษัตริย์ องค์ก่อนๆที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น พระนเรศวร พระเจ้าตากสินมหาราช

พระเจ้าอู่ทอง พระปิยมหาราช หรือแม้กระทั่งในหลวง องค์ปัจจุบันก็ดี ที่ทำให้ สยามชาติ หรือประเทศไทย ยังคงมีอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แต่ที่จะกล่าวในครั้งนี้คือ ชาวบ้านบางระจัน นักสู้เมืองสิงห์ผู้ปกป้องดินแดนสยาม

สงครามระหว่างไทยกับพม่านั้นมีมายาวนานมากนักแต่ใครหลายๆคนจะรู้หรือไม่ว่าผู้ที่ปกป้องแผ่นดินเราแล้วนอกจาก กษัตริย์ ทหารผู้ผ่านการฝึกแล้ว ยังชาวบ้านผู้ที่รักยิ่งในสยามประเทศ ชาวบ้านบางระจัน สิ่งที่เลื่องลือมายาวนาน

คือการที่คนชนกลุ่มน้อย เข้าต่อสู้ปกป้องบ้านเมืองในยามที่เกิดภัยสงคราม

เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่จะเสียกรุงในครั้งที่ 2 วีรกรรมของบุคคลกลุ่มเล็กๆแต่ทำประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่มีผู้นำที่ถูกจารึกชื่อไว้ 11 คน ที่เป็นวีรชนแห่งบางระจัน นำโดย นายพันเรือง กำนันของตำบลบางระจัน นายทองแสงใหญ่ ผู้ช่วยกำนันของตำบลบางระจัน นายแท่น นายอิน นายเมือง นายโชติ เป็นชาวบ้านศรีบัวทอง นายดอกไม้ นายทองแก้ว เป็นชาวบ้านสี่ร้อย วิเศษชัยชาญ ขุนสวรรค์สรรพกิจ กรมการเมืองสรรคบุรี นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายบ้านโพธิ์ทะเล และนายทองเหม็น ผู้ใหญ่บ้านกลับ ปีพุทธศักราช 2307 ได้มีการเดินทัพของพม่ารามัญเข้ามาทางอ่างทอง แม่ทัพพม่าในตอนนั้นคือ

เนเมียวสีหบดี ทำการตั้งค่ายที่อำเภอเมือง วิเศษชัยชาญ ได้ปล้นฆ่าข่มเหง ชาวสยามประเทศ(ประเทศไทย)ไปมาก

ชาวบ้านเกิดความคับแค้นใจ นายอิน นายแท่น นายโชติ นายดอก นายทองแก้ว จึงจับมือชักชวนกันลักลอบเข้าไป แอบตีค่ายพม่า อยู่เป็นระยะๆ แล้วจึงได้เดินทางไปหา พระอาจารย์ธรรมโชติ เป็นพระอาจารย์ที่มีอาคมเก่งกล้า แจกผ้ายันต์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ต่อจากนั้นจึงได้ไปสมทบกับชาวบ้านบางระจัน ซึ่ง มี ขุนสวรรค์ นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น นายทองแสงใหญ่และนายพันเรือง ด้วยความที่ เป็นชาวบ้านแม่ทัพของพม่านั้น จึงได้ส่ง ทหารจำนวนไม่มาก มาเพื่อหวังชนะโดยง่าย

แต่ขอโทษเถอะครับ แพ้กลับไปตลอด 7 ครั้ง แต่ครั้งที่ 7 เราสูญเสีย นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น นายแท่นและขุนสวรรค์ ไปในการรบครั้งนี้ และครั้งที่ 8 ต่อมาพม่าได้นำเอาปืนใหญ่มาด้วยหวังจะเอาชนะโดยเด็ดขาด และ ในครั้งนี้ ไทยเราก็พ่ายแพ้ ไปการรบที่ค่ายบางระจันกินเวลาทั้งสิ้น 5 เดือน และหลังจากนั้นไม่นาน เราก็เสียกรุง ครั้งที่ 2

คุณรู้จัก นางอสรพิษ แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือไม่

The Serpent

109872509

ในประวัติศาสตร์ของจีนได้ระบุเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งไว้ และเชื่อว่าน้อยคนที่จะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเธอ เนื่องจากเป็นการก่อกบฎที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ สถานะที่สูงที่สุดของเธอคือ มาดามเหมา ซึ่งเป็นภรรยาสุดที่รักของ เหมา เจ๋อตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้ประกาศจัดตั้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาดามเหมา เธอได้หลงอำนาจที่ได้ครอบครองอยู่จนมัวเมา และทุกคนจะยกย่องเธอให้ในสมญานามว่าเธอคือ นางอสรพิษแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน มาดามเหมา เธอมีชื่อเดิมว่า หลี่ หยุยเฮ่อ ตอนที่เธอยังเป็นสาวแรกรุ่นอยู่นั้น เธอเป็นคนที่มีอุปนิสัย ทะเยอทะยาน และที่สำคัญเธอฝักใฝ่การเมือง จนกระทั่งเธอได้มาพบรักกับ ประธาน เหมา เจ๋อตุง ทั้งสองครองรักกันไปได้จนถึงช่วงปลายของชีวิต ประธาน เหมา เจ๋อตุง เกิดล้มป่วยและอ่อนล้าลงอย่างมาก เธอจึงใช้โอกาสนี้ ร่วมมือกับเพื่อนของเธออีก 4 คน เข้ายึดครองอำนาจ และการยึดอำนาจของเธอสร้างความลำบากให้แก่ประชาชนจีนไม่น้อย เธอเข้าปั่นป่วนเศรษฐกิจบ้านเมือง และเธอยังเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของบ้านเมืองอีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว มาดามเหมา ยังทรยศหักหลังเพื่อนของสามีเธอหรือประธานเหมา ในระยะเวลา 10 ปี ที่เธอครองอำนาจและกำลังหลงมัวเมาอยู่ และในเวลาหลังจาก 10 ปีผ่านไป มาดามเหมา ถูกเพื่อนของสามีคนหนึ่งจับกุมตัวควบคุมตัว เมื่อเธอถูกคุมตัวแล้วได้มีการตัดสินให้เธอประหารชีวิตข้อหาหัวหน้ากบฏ แต่เธอได้รับอภัยโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต มาดามเหมา ไม่สามารถยอมรับชะตากรรมที่เธอก่อไว้ได้ เธอไม่เคยยอมรับเลยว่าเธอได้กระทำผิดเธอจึงคิดและตัดสินใจจบชีวิตของเธอเอง ด้วยการผูกคอตายในสถานที่ที่กุมขังเธออยู่ เธอมีลมหายใจสุดท้ายเมื่อตอนที่เธอมีอายุได้ 77 ปี และมาดามเหมา เธอก็ได้ทิ้งเรื่องราวความน่ากลัวกับความทรงจำอันโหดเหี้ยมของเธอไว้กับประชาชนชาวจีนในประวัติศาสตร์จีนนั้นเอง

คดีฆาตกรรมของนักโทษหญิงที่ฆ่าคนเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

The murder of the most murderous female prisoners in world history.

 

Brynhild Paulsdatter Størsethเนส เป็นผู้ก่อคดีที่สร้างความสะเทือนขวัญไม่น้อยไปกว่าคดีอื่นๆ เนื่องจากเป็นผู้หญิงที่ฆ่าคนตายเยอะมากที่สุด 40 รายเธอมีร่างกายที่เหมือนกับยักษ์ เนสมีส่วนสูง 183 เซนติเมตร และน้ำหนักตัวของเธอ 90 กิโลกรัม ก่อนหน้าที่ทุกคนจะรู้จักเธอในนาม เนส เธอมีชื่อว่า บรินไฮส สเตอร์เชธ เป็นชาวนอร์วีเจียน เนส จะฆาตกรรมเหยื่อที่เป็นคนมีฐานะทั้งหมด เนส เข้ามาในอเมริกาเพื่อหาสามีที่มีฐานะและจะเลือกเหยื่อที่สามารถเลี้ยงดูเธอได้นั้นเอง เนส เธอรวยขึ้นและมีฐานะที่ดีขึ้นในเวลาที่รวดเร็วมาก จนเธอได้ไปซื้อฟาร์มเพื่อทำธุรกิจส่วนตัวเพื่อจะได้ไม่เป็นที่จับตามองหรือเป็นที่ต้องสงสัยของใคร หลังจากที่ซื้อฟาร์มแล้วเธอไม่ได้ไปเดินตามที่สาธารณะเพื่อมองหาเหยื่อหรือรอเวลาเผื่อที่จะได้เจอเนื้อคู่ เธอไม่อยู่นิ่งเฉยแต่เธอเลือกที่จะโฆษณาตัวเองผ่านนิตรสารต่างๆ โดยใช้ข้อความว่า “ แม่ม่ายยังสาว เป็นเจ้าของฟาร์มในลาพอร์เต้ รัฐอินเดียน่า ที่มีความปรารถนาจะคบกับสุภาพบุรุษผู้มีฐานะและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ” ด้วยวิธีการที่เธอได้ประกาศหาคู่อย่างเป็นทางการเช่นนี้ จึงมีเศรษฐีหนุ่มใหญ่ผู้มีฐานะหลงกล และเข้ามาเป็นศพในฟาร์มในลาพอร์เต้ไม่น้อยเลยทีเดียว เนส เธอไม่ได้ฆ่าเพียงแค่ผู้ชายที่จะเข้ามาเป็นสามีเท่านั้น แต่ไม่ว่าคนที่รู้เห็นเกี่ยวก้อง หรือตกเป็นที่ต้องสงสัยสำหรับเธอแล้ว เธอจะฆ่าปิดปากทุกคน โดยเฉพาะญาติของสามีเธอทุกคน โดยเหตุผลของเธอมีเพียงอย่างเดียวคือ เธอต้องการสมบัติจาก เศรษฐีใหญ่ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเธอ และเมื่อเวลาของความโลภของเธอหมดลงคือเวลาที่ ญาติของเหยื่อรายสุดท้ายนั้นบุกไปที่ฟาร์ม แต่เธอได้เตรียมการหนีความผิดไว้หมดแล้ว เธอถอนเงินที่เธอมีอยู่ออกจากธนาคารทั้งหมดและได้เขียนพินัยกรรมขึ้นมา 1 ฉบับ ในเวลาต่อมาไม่นานมีคนมาเจอว่าฟาร์มของ เนส ถูกเผาจนมอดไหม้ และพบศพ 4 ศพด้วยกัน คือ ลูกของเธอ 3 คน และอีกหนึ่งศพที่อยู่ในท่านั่งแต่หัวขาด ซึ่งบ้านเพื่อนช่วยกันยืนยันว่าทุกคนนั้นจำร่างของเธอได้ เมื่อตำรวจเข้าตรวจสอบ ก็เจอกับฟันปลอมของ เนส ที่ตกอยู่ข้างๆ ศพ เหล่านั้น ซึ่งได้ระบุไว้ว่า เนสฆ่าตัวตายหนีความผิดทุกอย่างพร้อมกับลูกๆ ของเธอโดยคนจุดเพลิงเชื่อว่าน่าจะเป็น เนส ที่ลงมือทำเองทั้งหมด