เคยได้ยินเรื่องราวของกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ไหม

Have you heard of the little rice box killing the mother

kongkaonoikamah        หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นเรื่องราวที่น่าเศร้าสลดใจมากเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นเรื่องราวของลูกผู้สำนึกผิดในวันและเวลาที่สายไปเสียแล้ว ในจังหวัดยโสธรมีพระธาตุกล่องข้าวน้อยที่ถูกสร้างอยู่ในเขตของวัดทุ่งสะเดา ที่มาของพระธาตุกล่องข้าวน้อยนั้น มาจากเรื่องราวของแม่ที่ตายเพราะถูกลูกชายของตัวเองฆ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา ในช่วงหน้าฝนของปีหนึ่งแม่กับลูกชาย ได้ออกไปทำนากันกลางนา ลูกชายของเขานั้นเป็นคนที่ขยันขันแข็งมาก แต่แล้วเรื่องราวเลวร้ายก็ได้เกิดขึ้นกับเขา เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเขานั้นเอง ในวันนั้นแดดร้อนจัดมากแต่เขา 2 คนแม่ลูกก็ออกไปทำนาตามปกติ ลูกชายของเขาทำนากลางแดดตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาเที่ยง รอว่าแม่จะมาถึงหรือยังเพราะ แม่ของเขาได้เดินกลับไปเอาข้าวให้กินตั้งแต่ช่วงสายๆ แต่ ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้วทำไมยังไม่มา แดดร้อนก็ร้อนเหนื่อยก็เหนื่อยหิวก็หิวมาก เขาก้มน่าก้มตาทำนาต่อไประหว่างรอแม่ แดดก็ร้อนขึ้นๆ ความเหนื่อยก็มากขึ้น ความหิวที่หิวอยู่ก็มีเพิ่มขึ้น จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ แม่มาถึง วิ่งมาถึงเถียงนาที่ลูกรออยู่ ลูกชายด้วยความโมโหหิวมากจึงวิ่งเข้าหาแม่ ตะโกนด่าว่าแม่ต่างๆ นาๆ ลูกชายด้วยความโมโหตะโกนถามแม่ออกมาว่า “ อีแก่มึงมัวไปทำอะไรอยู่ ทำไมจึงมาส่งข้าวกูช้านัก ” ยังไม่ทันที่แม่จะตอบอะไรเลยสายตาของลูกชายได้มองไปเห็นกล่องข้าว ที่แม่เตรียมมาให้พอเห็นว่ากล่องข้าวที่แม่เตรียมให้นั้นเล็ก ก็ยิ่งโมโหหนักมาก จึงได้เอาไม้แอกน้อยที่อยู่ในมือฟาดเข้าไปที่แม่ แล้วรีบคว้ากล่องข้าวที่แม่ถือมาให้เอามากินแบบยัดๆ กินไปจนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่าอิ่มแต่ทำไม ข้าวในกล่องยังเหลืออยู่ สติของผู้เป็นลูกได้กลับคืนมา นึกถึงแม่ขึ้นมาวิ่งไปดูแม่ที่นอนจมกองเลือดอยู่ แต่ทุกอย่ากลับไม่ทันมันสายไปเสียแล้ว เขารู้สึกผิดมากจึงได้ไปสารภาพกับสมภารวัด และรู้สึกผิดต่อแม่มากจึงได้ชักชวนสิ่งที่อยากจะทำให้แม่ของเขาเป็นสิ่งสุดท้าย คือสร้างพระธาตุน้อยเป็นรูปกล่องข้าวขึ้นมาเพื่อระลึกถึงแม่ ของเขา ในปัจจุบันพระธาตุน้อยนั้นได้ตั้งอยู่ในเขตวัดทุ่งสะเดาจังหวัดยโสธร ให้คนที่คิดสำนึกผิดต่อ พ่อ – แม่ ได้ไปกราบไหว้ เพราะบางคนมีความเชื่อว่าถ้าหากไปกราบไหว้จะเป็นการไถ่ความผิดที่มีต่อพ่อกับแม่

คุณรู้หรือไม่ว่าคดีอะไรเป็นประวัติศาสตร์ไทยที่ศาลตัดสินได้เร็วที่สุด

Do you know what case is the fastest court history in Thailand-s

dead21                เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2539 ได้เกิดเหตุน่าสะเทือนขวัญขึ้น เมื่อมีคนพบศพเด็กหญิงวัยเพียง 5 ขวบ ถูกข่มขืนและฆ่าทิ้งในห้องน้ำของโรงเรียนแห่งหนึ่งย่าน จรัญสนิทวงศ์ และในที่เกิดเหตุคือ ซอย จรัญสนิทวงศ์ 57 ในเขตบางพลัด กรุงเทพฯ เรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้คดีความกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งศาลนั้นได้มีการเร่งให้พิจารณาคดีความให้เสร็จภายใน 1 วัน เนื่องจากคดีนี้เป็นเรื่องราวที่นับว่าสะเทือนขวัญประชาชนในละแวกนั้นอย่างมาก จากปากคำบอกเล่าของพยานสำคัญคือ เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งที่เล่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่า ก่อนหน้าที่จะมีคนมาพบศพ เขาเองมาเข้าห้องน้ำและได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางน่ากลัวเดินโผล่ออกมาจากห้องน้ำที่เกิดเหตุและมีท่าทางตกใจเมื่อเจอกับเด็กนักเรียนชาย คนร้ายก็ตกใจและรีบเดินถอยกลับเข้าไปในห้องน้ำซักครู่ เมื่อเด็กนักเรียนชายจะเดินเข้าไปใกล้บริเวณหน้าห้องน้ำนั้น ผู้ชายคนดังกล่าวถีบประตูออกมาจากห้องน้ำ เด็กนักเรียนชายจึงกลัวและได้รีบหนีออกมา จึงเป็นเหตุให้เด็กนักเรียนชายจำรูปร่างหน้าตาของคนร้ายได้ชัดเจน นอกจากนั้นยังมีคนขายของชำบอกเล่าต่ออีกว่ามีชายคนหนึ่งชื่อนาย พันธุ์ เป็นคนคุ้นน่าคุ้นตาเพราะเขาเป็นคนละแวกนั้น เดินเปียกน้ำเข้ามาซื้อบุหรี่ 1 ตัว ท่าทางมีพิรุธมานั่งดูดบุหรี่อยู่ตรงนี้ซักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นในเวลาต่อมาก็มีคนมาพบศพเด็กหญิงวัย 5 ขวบ เสียชีวิตอยู่ภายในห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับคนร้ายได้ในวันถัดมา ซึ่งคนร้ายก็มีประวัติเคยต้องโทษคดียาเสพติดมาหลายครั้งศาลจึงเห็นว่า นักโทษเด็ดขาดคนนี้นั้นไม่เข็ดหลาบ ก่อคดีติดๆ กันและที่สำคัญ คือ พึ่งพ้นโทษมาได้ 7 วัน หลังจากพ้นโทษก็มาก่อคดีสะเทือนขวัญอีก ศาลจึงตัดสินว่าให้ประหารชีวิต แต่เขาก็ได้ยื่นฎีกาแต่ไม่เป็นผล และศาลสถิติยุติธรรมทั้ง 3 ศาลได้ตัดสินว่าประหารทั้ง 3 ศาล เพราะตัวนักโทษนั้น ถือว่าเป็นภัยต่อสังคมอย่างมากไม่มีความสำนึกผิด นักโทษประหารรายนี้จึงมีลมหายใจวันสุดท้ายคือวันที่ 21 มิถุนายน 2542 โดยเพชฌฆาตได้ใช้กระสุนเพียง 9 นัดปิดฉากนักโทษประหารรายนี้นั้นเอง

ตำนานมนุษย์กินคนที่โลกไม่เคยลืม

The legend of human beings that the world has never forgotten.

zee1                ซีอุยคือนักโทษประหารที่เป็นคดีในประวัติศาสตร์ไทยคนหนึ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วเขาชื่อ หลีอุย แซ่อึ้ง เป็นคนจีนคนไทยเรียกเขาผิดๆ กันไปเอง เรียกเขาว่า ซีอุย จนกลายเป็นคำเรียกติดปากหรือกลายเป็นฉายาของเขานั้นเอง ซีอุยเป็นประชาชนชาวจีนแต่ได้ลักลอบเข้ามาทำงานอยู่ในเมืองไทย เขาได้ก่อคดีฆาตกรรมขึ้น ที่น่าตกใจคือเมื่อเขาฆ่าแล้วเขาจะนำตับและหัวใจของมนุษย์ออกมากิน การก่อคดีของเขาเกิดขึ้นถึง 6 ครั้ง และครั้งสุดท้ายคือเด็กชายที่มีอายุ 10 ขวบ ที่ซีอุยถูกจับได้เขารับสภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าเขาทำแบบนี้เพื่อจะนำอวัยวะของมนุษย์คือตับและหัวใจออกมากิน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวซีอุย ได้มีการนำตัวของซีอุยไปตรวจสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ แต่แพทย์ได้ระบุว่า ซีอุยไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใดไม่ว่าจะเป็นทางจิตใจหรือร่างกาย เพียงแต่มีความเชื่อในสมัยเด็กท่านั้นเองเพราะตอนที่ ซีอุย ยังเป็นเด็ก เขาได้เจอกับกับนักบวชคนหนึ่ง ที่บอกกับเขาว่าการกินหัวใจกับตับของมนุษย์คือยาที่บำรุงร่างกายให้แข็งแรงอย่างหนึ่ง เขากินอวัยวะของมนุษย์ครั้งแรกคือตอนที่ถูกเกณฑ์ทหาร และออกรบซึ่งมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก อาหารก็ขาดแคลนจึงทำให้เขาควักและผ่าท้องทหารที่เสียชีวิตแล้วออกมากินโดยไม่ได้สนใจใคร ต่อมาเมื่อเข้ามาอยู่ที่เมืองไทยก็ก็ได้สร้างคดีน่าสยองขวัญต่อเนื่องถึง 6 ราย ในอำเภอทับสะแก ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการก่อคดีของเขานั้นไม่ได้ถูกจับในทันที แต่ยังลอยนวลได้เป็นเวลาถึง 5 ปี เรื่องราวของซีอุยนับว่าเป็นตำนานประวัติศาสตร์ไทยที่มีคนนำมาจารึกไว้ ศพของซีอุยในปัจจุบัน ยังอยู่ที่พิพิธพันธ์ในโรงพยาบาลศิริราชชั้น 2 ตั้งไว้ให้เด็กรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาคดีในตำนานนี้ต่อไป เพราะมีคนบางกลุ่มตั้งข้อสงสัยว่าจริงๆ แล้วซีอุยไม่ใช่คนร้ายที่ฆ่าเด็กจริงๆ เพียงแต่เด็กคนสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นหลักฐานมัดตัวเขา และยังมีเด็กหญิง 8 ขวบ ที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์น่ากลัวนี้อีกด้วย

นักโทษประหารยิงเป้าที่ยิงแล้วแต่ไม่ยอมตาย

Prisoner of Death shot a target that shot but did not die.

prisoner1                นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน หญิงไทยชาวโคราชคนหนึ่ง ที่ได้มีการบันทึกเรื่องราวของคดีลักพาตัวเด็กไปเรียกค่าไถ่ เรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์ไทยเรื่องหนึ่งที่มีผู้คนสนใจและติดตามเป็นจำนวนมาก ประวัติส่วนตัวของนางกิ่งแก้ว และรายละเอียดส่วนใหญ่แล้วจะมีในหนังสือของต่างประเทศ เรื่องราวของหญิงไทยที่ถูกไปตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ เมื่อใน พ.ศ. 2519 มีคดีดังของนางกิ่งแก้วที่เปิดเผยออกทั่วโลก และผลตอบรับนั้นคือมีผู้คนติดตามข่าวสารเป็นจำนวนมาก ในเนื้อเรื่องบอกเล่าว่านางกิ่งแก้ว เดิมทีเป็นคนโคราชและได้เข้ามาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในกรุงเทพ เด็กชายที่ถูกฆ่ามีอายุ 6 ขวบ วันที่ก่อเหตุ นางกิ่งแก้ว ไปรับน้องที่โรงเรียนคุณครูก็ไมได้สงสัยอะไรเพราะ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่นางกิ่งแก้วจะไปรับเด็กที่โรงเรียน เมื่อพาเด็กไปได้แล้วนางกิ่งแก้วและเพื่อนชายของเธออีก 2 คนได้ติดต่อไปยังพ่อกับแม่ของเด็ก และนัดเจอกันเพื่อเอาเงินและแลกกับตัวเด็ก เมื่อถึงเวลานัดพ่อกับแม่เด็กเกิดผิดพลาดในการส่งเงิน คนร้ายจึงโมโหมากกลับมาถึงที่พัก ก็ตุบตีเด็กและเอามีดแทงเข้าที่เด็ก จากนั้นจึงนำตัวเด็กไปฝั่งในดินหลังบ้านที่พักเพื่อนชายทั้ง 2 คนหลบหนีไป แต่ในเวลานั้นเป็นเวลาเดียวกันกับเด็กโดนแทง นางกิ่งแก้วออกไปซื้อของและอาหาร ไม่รู้แต่เมื่อกลับมาจากการไปซื้อของกลับมาก็ไม่เจอใครเลย และนางกิ่งแก้วจึงคิดว่าต้องเกิดอันตรายกับเด็กแน่ๆ จึงได้หาเด็กรอบบ้าน จนมาเจอเศษดินหลังบ้านกระจุยกระจาย นางกิ่งแก้วจึงขุดหลุมดินหลังบ้านและเจอเด็กชายไม่หายใจแล้ว เมื่อส่งศพตรวจพิสูจน์หลักฐานปรากฏว่าหมอบอกว่ามีเศษดินที่เข้าไปอยู่ในปอดเด็ก นั้นแปลว่าตอนที่ฝังเด็กนั้นเด็กยังไม่ตาย ศาลตัดสินให้นางกิ่งแก้วประหารชีวิตโดยการยิงเป้า ตอนนำตัวนางกิ่งแก้วไปประหารเธอเหม่อลอยพูดเพ้ออยู่เพียงแค่ว่า ” ฉันไม่ผิด..ฉันไม่ได้ทำ ” เพชฌฆาตยิงกระสุนชุดแรก 15 นัด แต่น่าตกใจอย่างมากเพราะ นางกิ่งแก้วยังไม่ตาย เพชฌฆาตจึงต้องรีบยิงกระสุนอีก 15 นัด กระสุนที่ใช้ในการหยุดลมหายใจของนางกิ่งแก้วต้องใช้ถึง 2 ชุดด้วยกัน เนื่องจากหัวใจของนางกิ่งแก้วไม่ได้อยู่ข้างซ้ายแต่อยู่ที่ข้างขวา เจ้าหน้าที่ทุกคนเล่าว่านางกิ่งแก้วรักเด็กคนนี้มาก ตอนที่รอการตัดสินโทษเธอจะพูดอยู่แค่ว่า” ฉันไม่ผิด..ฉันไม่ได้ทำ ” หลังจากนั้นนักโทษคนอื่นๆ มักจะเห็นวิญญาณของนางกิ่งแก้วมาหลอกมาหลอนอยู่ในเขตกำแพงข้างในบริเวณเรือนจำอยู่เสมอ

ขอมโบราณ

timthumb.Ancient Khmer

korm ย้อนตำนานวัฒนธรรมโบราณของบรรพบุรุษเก่าแก่แห่งอุษาคเนย์ นั่นคือ ขอม ที่เป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในภูมิภาคอุษาคเนย์(เอเชียอาคเนย์)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน มีมรดกที่สำคัญๆ มากมาย และมรดกสำคัญที่สุดของอาณาจักรขอมคือ นครวัด นครธม ซึ่งเคยเป็นนครหลวงเมื่อครั้งที่อาณาจักขอมเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดและลัทธิความเชื่ออีกมากมายโดย ศาสนาหลักของประเทศขอมคือ ศาสนาฮินดู พุทธ ศาสนา

ต้นกำเนิดของขอมยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าตามประวัติศาสตร์แล้ว ขอมนั้นมีถิ่นฐานอยู่ที่ใดกันแน่นักวิชาการบางท่านว่า อยู่มาเลเซียตอนใต้ ส่วนบางท่านบอกว่ามาจากประเทศจีนตอนล่างน่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าไทของจีน

แต่สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยนั้นคือ ปราสาท ขอมประเทศมีปราสาทมากมายไม่ว่าจะ ปราสาทนครธม ปราสาทพระขรรค์ ปราสาทนครวัด ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทพนมรุ้ง ฯลฯ เนื่องจากขอมได้ยกย่องกษัตริย์เป็นดั่งเทพเจ้า เมื่อสวรรคต ดวงวิญญาณจะไปหลอมรวมกับเทพเจ้าจึงสร้างปราสาทไว้ให้เป็นที่สถิตเพื่อเคารพบูชาพระองค์และเทพเจ้า ดังนั้นจึงเกิดปราสาทมากมายในขอมประเทศ ซึ่งสุดยอด สถาปัตยกรรมของขอมนั้น คงหนีไม่พ้น ปราสาทนครวัด ปราสาทหินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าและเก่าแก่ที่สุดในกัมพูชา ทั้งยังเป็นเทวสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีหินทรายเป็นวัสดุ สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ขนาดใหญ่ ถึง 2 แสนตารางเมตร สูง 65 เมตร ยาว 100 เมตร กว้าง 80 เมตร คูน้ำกว้าง 200 เมตร จากหลักฐานต่างๆ สันนิษฐานว่าเพื่อเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรหรือไม่ก็เพื่ออุทิศถวายแด่พระวิษณุ(พระนารายณ์)เนื่องจากหันหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นทิศแห่งความตาย

แต่อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์สรุปตรงกันคือ ปราสาทนครวัดสร้างขึ้นด้วยคติจักรวาล มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางจักรวาลเมื่อเราเดินทางเข้าปกติจะคล้ายกับว่าเราเดินทางจากโลกมนุษย์ไปสู่สวรรค์ ทั้งหมดนี้ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของขอมในประวัติศาสตร์ ว่าเกรียงไกรขนาดไหน

กรุงธนบุรีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

Thonburi King Taksin the Great

takภายหลังการสูญเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ก็ได้เกิด อาณาจักรธนบุรี เป็นอาณาจักรของคนไทยช่วงสั้นๆ พระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หลังจากได้กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนจากพม่าได้แล้ว พระเจ้าตากสินทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายมาก ยากที่จะฟื้นฟูให้เหมือนเดิม พระองค์จึงย้ายเมืองหลวง มาอยู่ที่กรุงธนบุรี แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์

การปกครองพระเจ้าตากยึดเอาแบบสมัยพระบรมไตรโลกนาภคือแบ่งส่วนราชการ

  1. การปกครองส่วนกลาง มี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหนายก และสมุหพระกลาโหม การบริหาร เป็น 4 กรม คือ เวียง วัง คลัง นา
  2. การปกครองส่วนภูมิภาค ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและก็หัวเมืองประเทศราช

สาเหตุที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี เนื่องจาก กรุงศรีอยุธยาชำรุดเสียหายมากจนไม่สามารถจะบูรณะให้เหมือนเดิมได้ กำลังพลมีน้อยจึงไม่สามารถรักษากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองใหญ่ได้ ทำเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาทำให้ข้าศึกโจมตีได้ง่ายเพราะข้าศึกรู้เส้นทางการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาดี

ในช่วงปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทรงหมกมุ่นในการนั่งวิปัสนากรรมฐาน จนเข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบันแล้ว ทรงบังคับให้พระสงฆ์มากราบไหว้พระองค์ หากไม่ปฏิบัติตามก็ทรงลงโทษอย่างหนัก สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จนพระยาสรรค์ก่อการกบฏ บังคับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผนวช   สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทราบข่าวจึงยกทัพกลับจากการไปตีเขมร และได้ขึ้นเป็นกษัตริย์

กรุงธนบุรีเป็นการปกครองที่สั้นที่สุดเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้นและมีพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นด้วยคือ พระเจ้าตากสินมหาราช คือการจบสมัยของกรุงธนบุรีเพียงเท่านี้ และพระพุทธยอกฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ย้ายไปตั้งราชธานีที่ กรุงรัตนโกสินทร์

อัจฉริยะของโลกอยู่ที่มุมมอง

The genius of the world is at the view.

p16o86aiq43ht7991jefbb044q3                ถ้าหากว่าคุณพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ อ่านหนังสือออกตอน 8 ขวบ เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ถูกอาจารย์หาว่า สมองช้าไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝัน แต่ว่าบุคคลนี้แหละเป็นหนึ่งคนที่เขียนหน้าประวัติศาสตร์โลก รู้รึยังว่าเขาเป็นใคร

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะระดับโลก ผู้เป็น บิดาแห่งปรมาณู

ไอน์สไตน์ เป็นเยอรชันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน เส้นทางจากเด็กที่ มีแต่คนมองว่าเป็นพวกมีปัญหา ด้อยปัญญา ไร้ความสามารถ ก้าวเข้าสู่การเป็นสุดยอดอัจฉริยะได้

อย่างที่ทุกคนทราบ ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ สาขา ฟิสิกส์ เมื่ออายุ 26 ปี เขาได้ตีพิมพ์การค้นพบสมการ

E = mc 2 (E คือพลังงาน m คือมวล c คือความเร็วของแสง) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามวลขนาดเล็ก สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลได้ สมการนี้นำไปสู่การสร้างระเบิดนิวเคลียร์ เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน

คนที่ค้นพบปฏิกิริยาแบ่งแยกนิวเคลียสเป็นชาวเยอรมันชื่อว่าอ๊อตโต ฮาห์น กับฟริตซ์ ชตราสมันน์ พวกนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์เป็นโหลที่หนีภัยสงครามจากยุโรปมาพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาจึงกลัวกันว่าเยอรมันนาซีจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์มาใช้ในสงคราม ทำให้ไอน์สไตน์กลายเป็นที่ปรึกษาให้กับทางอเมริกาและสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จก่อนเยอรมัน ที่นำไปใช้กับประเทศญี่ปุ่น เกาะ ฮิโรชิม่า และ นากาซากิ

ไอน์สไตน์ถึงแก่กรรมที่ พรินซ์ตัน นิวเจอร์ซีย์ ด้วยโรคหัวใจวาย ในเดือนเมษายน ค.ศ.1955 จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต เขายังคงชิงชังวิธีการทำลายล้าง อันน่าสะพึงกลัว ของระเบิดนิวเคลียร์

จากวัยเด็กที่ผู้อื่นมองว่าเป็นคนไม่มีความสามารถก้าวเข้าสู่แถวหน้าของความเป็นอัจฉริยะ ไอน์สไตน์ ได้รับยกย่องเป็น “บุคคลแห่งศตวรรษนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล”โดยนิตยสาร Time

เยอรมันนาซีกับสงครามโลก

German Nazi vs. World War II

hitler1                หากพูดถึงผู้นำและกองกำลังที่แข็งแกร่ง ที่มีผลต่อประวัติศาสตร์โลก ที่อาจจะได้เป็นผู้นำของโลกได้ อาจจะเป็นเยอรมัน ที่นำโดยนาซี ถ้าหาก สงครามโลกในครั้งที่ 2 นั้นไม่เปิดสงครามกับสองประเทศพร้อมกัน เนื่องจากในยุคสมัยนั้น รถถังของ ทางเยอรมันเรียกได้ว่าแทบจะเป็นจุดสูงสุดของวิวัฒนาการ ถัดมาเป็น เครื่องบิน มี 2 แบบ คือเครื่องบินไอพ่น นับว่าเป็นประเทศที่ทำเครื่องบินไอพ่นประเภทขับไล่ สำเร็จเป็นประเทศแรกของโลก และทำความเร็วได้ 600 ไมล์ต่อชั่วโมงซึ่งเร็วที่สุดในยุคสมัยนั้น ทำให้เครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรเป็นได้แค่เพียงเป้าบินให้ซ้อมยิง ถัดมาคือเครื่องบินเจ็ตทิ้งระเบิด ซึ่งเป็นประเทศที่ทำขึ้นเป็นเครื่องแรกของโลกอีกเช่นเดียวกันแต่แค่ศักยภาพเพียงเท่านี้คงไม่เพียงพอที่จะทำให้เป็นผู้นำโลกได้ สิ่งที่ทำให้ นาซี ยิ่งใหญ่ได้คือ ทหารที่จงรักภักดี หน่วยสังหารที่ชื่อ SS หรือ SchutzStaffel ที่มีประสิทธิภาพในการรบสูงสุดของเยอรมัน โดยกองกำลังนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกองกำลังป้องกันและอารักขา ผู้นำของเขา คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่จะทำทุกอย่างภายใต้การสั่งการโดยปราศจากการถาม ซึ่งผู้ที่เป็นหัวหน้าของ กองกำลังนี้คือ ไฮน์ริชฮิมเลอร์ ซึ่งมีกำลังพลถึง 1 ล้าน คนเลยทีเดียว

เคยลองคิดหรือไม่ถ้าหากเยอรมันเป็นผู้ที่ชนะศึกในสงครามโลกที่2 ตอนนี้โลกเราจะเป็นอย่างไร แต่ยังไงก็คงเป็นไปไม่ได้ สาเหตุหลักๆ ที่ นาซี พ่ายในสงคราม คือการที่เปิดศึกกับรัสเซีย โดยที่ยังทำสงครามกับประเทศอังกฤษไม่จบ ทั้งยังใช้เวลาในการรบที่ยาวนาน และพันธมิตรที่เลือกมาก็ไม่ได้มีความสามารถทางการทหารเท่าไหร่นัก

องค์ประกอบของสงครามมันมีหลายอย่างกำลังมากจะไม่ได้ชัยชนะหากประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป  กำลังน้อยใช่จะพ่ายแพ้หากรู้จุดอ่อนจุดแข็งของคู่ต่อสู้แล้วนำมาปรับใช้ให้ถูกทางการสงคราม ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่ละคนที่จะนำไปใช้และสร้างประโยชน์ให้กำลังฝ่ายตน ในประวัติศาสตร์สงครามผู้ชนะคือผู้ที่ได้เขียนหน้าประวัติศาสตร์แต่สุดท้ายสงครามก็ทำให้ทุกฝ่ายเป็นผู้สูญเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมากหรือน้อย

 

 

 

 

มหานครที่รุ่งเรืองในอดีตกับการหายไป

The past glory of the past.-s

atlantis2ยังคงมีเรื่องราวที่ได้เล่าขานนานมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ของมหานครลึกลับโบราณ ที่พยายามค้นหาคำตอบของคนทั้งโลก ที่ยังคงเวียนว่ายอยู่ในความทรงจำ มีการถามถึงอยู่อย่างต่อเนื่องถึงการล่มสลายของอาณาจักรโบราณแห่งนี้ คงจะพอคาดเดากันได้แล้วใช่ไหมว่ามหานครลึกลับที่กล่าวถึงนี้คืออะไร สถานที่แห่งนั้นคือ แอตแลนติส

มีการพูดกล่าวถึงอยู่กันบ่อยๆ ว่าถึงตำนานลึกลับ จากนักปรัชญาชาวกรีก ที่มีผลต่ออย่างสูงกับความคิดทางด้านนี้ ที่ว่ากันว่า อาณาจักรแห่งนี้อยู่บนมหาสมุทรแอตแลนติส เมืองนี้เปี่ยมไปด้วยผู้คนที่ทรงคุณธรรม มีความฉลาดที่เหนือล้ำ นำหน้าด้วยเทคโนโลยีขั้นที่สูงส่งมาก กำแพงเมืองก่อสร้างด้วยทองคำ และสิ่งปลูกสร้างทำจากแร่เงิน มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย เป็นอาณาจักรที่ มีอารยธรรมรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด (คิดว่าน่าจะสูงสุดที่คิดได้แล้วละ) ผู้ที่กล่าวถึงเรื่องนี้คือนักปรัชญาที่ชื่อ เพลโต กล่าวถึงอาณาจักรที่รุ่งเรืองและล่มสลายจากคลื่นยักษ์ ที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง ให้จมหายไปราวกับไม่เคยมีมันเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ หลายๆ ความคิดเห็นกล่าวว่านี่อาจจะเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันที่แต่งเติมด้วยจินตนาการของ เพลโต แต่ก็ยังมีผู้คนที่เชื่อกับตำนานที่เพลโตได้กล่าว ผู้ที่มีศรัทธาในหัวใจจะเข้าถึงมหานครนี้ได้ ช่วงเวลาที่แอตแลนติสล่มสลาย คือประมาณ 12,000 ปีก่อนซึ่งตอนนั้นโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงเปลือกโลกครั้งสุดท้าย สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่ง คือ ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงานที่มหาศาลรวบรวมไว้ด้วยซึ่งพลังงานธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล

ทั้งยังมีบันทึกจากนักบวชชาวอียิปต์เล่าให้ชาวกรีก ฟัง ถึงบันทึกอันเก่าแก่ ว่า เกาะแอตแลนติสปกครองด้วยตระกูลกษัตริย์สูงส่งที่ทรงอำนาจ บ้างก็บอกว่าเป็นเชื้อสายมาจากเทพโพเซดอน ปฐมกษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส จากวันเวลาที่ผ่านไปเนินนานทำให้ คนในนครแอตแลนติส ลุ่มหลงในเงินทอง และอำนาจ ทวยเทพเห็นว่ามหานครนี้ได้เสื่อมทรามลงจึงทำการลงโทษให้เกิดแผ่นดินไหวและน้ำท่วมกลืนกินมหานครแอตแลนติสลงก้นทะเลจนถึงทุกวันนี้

โบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ในอดีต

Great historic sites.

Partenal                หากกล่าวถึงความยิ่งใหญ่และเฟื่องฟูในอดีตคงจะมีอยู่ในใจเพียงไม่กี่สถานที่เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ดูทรงพลังและเป็นมนต์ขลัง คงจะหนีไม่พ้น วิหารพาร์เทนอล ซึ่งวิหารนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อของชาวกรีก หรือพูดง่ายๆว่าตำนานของชาวกรีกนั่นเองโดยตั้งชื่อ กรุง Athensมาจากชื่อของเทพีอาเทน่า (เทพีแห่งปัญญา)ที่เนรมิตต้นมะกอก ขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์และเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ (มะกอกยังเป็นผลไม้เศรษฐกิจอีกด้วย) ทำให้ ชาวกรีกนับถือเทพีอาเทน่าเป็นอย่างมาก (นึกถึงเรื่องเซนต์เซย่าเลย)จึงได้มีการสร้างมหาวิหารพาร์เทนอลขึ้น เพื่อถวายแก่เทพีอาเทน่า ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า พาร์เทนอล ยังหมายถึง ห้องแห่งเทพีพรหมจารีย์ (ให้เกียรติกันสุดๆ)

แล้วพาร์เทนอลจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากปราศจาก เพริคลีส ผู้นำที่เข้มแข็งที่สุดในยุคนั้น วิหารพาร์แทนอลมีอายุที่ยาวนาน มากกว่า 2600 ปี ถูกสร้างขึ้นจากหินอ่อนทั้งหลัง กว้าง 101.4ฟุต ยาว 228.0ฟุตสูง 34.1ฟุต ด้านหน้า จะมีเสา 8 ต้น และด้านข้างมีเสาด้านละ 17 ต้น และมี รูปปั้น เทพีอาเทน่าประดิษฐานอยู่ภายใน สูงประมาณ 12 เมตร

แต่ว่าทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าหากเราลองสังเกต การเปลี่ยนแปลงของวิหารพาร์เทนอลที่เกิดขึ้น คือ วิหารนี้ได้กลายเป็นโบสถ์ของชาวคริสเตียนและเป็นสุเหร่าของชาวอิสลาม ทำให้มหาวิหารนี้มีมากมายหลายวัฒนธรรมและศาสนาขึ้นอยู่กับความเป็นใหญ่ของผู้ที่ครอบครองอาณาจักรในขณะนั้น เป็นโบราณสถานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก ถ้าหากว่าคุณมีโอกาสที่จะได้เดินทางไปประเทศ กรีซ ก็ควรจะลองไปวิหารพาร์เทนอลดูสักครั้ง เพื่อที่จะพบกับความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ ว่าคนยุคสมัยนั้นสร้างประติมากรรมแบบนี้ได้อย่างไร โดยที่ไม่มีเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกเหมือนในสมัยนี้