ประวัติ Matthew Shepard นักศึกษาเกย์ชาวอเมริกัน กับเรื่องราวความเศร้าของเพศที่ 3

Matthew Shepard History

ประเทศไทยเรานั้นสังคมตอนนี้ถือว่าดีมากแล้ว สำหรับการเปิดกว้างเรื่องเพศทางเลือก มีการยอมรับคนเป็นเพศทางเลือกมากมายทั้งในโลกของการทำงานและใช้ชีวิตร่วมกันในสังคม แต่หากมองไปในระดับโลกยังมีอีกหลายสังคมที่มองว่าการเป็นเพศที่สามนั้นกลายเป็นเรื่องผิด เป็นบาป เป็นตัวตลก จนนำมาซึ่งการล้อเลียน การทำร้ายทั้งด้านร่างกายและจิตใจตั้งแต่เบาไปหาหนัก อย่างคดีที่เรากำลังจะเล่าต่อไปนี้ถือว่าเป็นอุทาหรณ์สำคัญมากของการปฏิบัติต่อเพศทางเลือก

Matthew shepard

เรื่องราวคราวนี้ ต้องเล่าถึงหนุ่มน้อยคนหนึ่งชื่อว่า Matthew shepard หรือ แมทธิว เด็กหนุ่มคนนี้มองจากภายนอกก็เหมือนเด็กหนุ่มน้อยทั่วไป สุภาพ ขี้อาย มีผมสีทอง มีงานอดิเรกด้วยการตกปลา เค้าเป็นคนจิตใจดี เป็นเด็กดีของครอบครัว เป็นคนดีของสังคม แต่เค้ากลับมีเรื่องสับสนภายในจิตใจก็คือเรื่องรสนิยมของตัวเองที่ไม่อาจบอกใครได้ว่าเค้าเป็นเกย์

ความเก็บกดภายในจิตใจ

แมทธิวนั้น รู้ตัวเองดีว่า เค้านั้นเป็นเกย์ แม้ว่าเค้าจะพยายามหาทางออกด้วยการออกเดตกับเด็กผู้หญิงในท้องถิ่น หรือ คนอื่นที่พบเจอแต่ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น ล่มไปหมด ซึ่งการเป็นเกย์ของเค้านั้น สภาพสังคมรอบตัวในตอนนั้นยังไม่เปิดรับแนวคิดดังกล่าว ทำให้เค้าไม่กล้าที่บอกออกไปแม้แต่ต่อหน้าครอบครัวของเค้าเองว่า เค้าเป็นอะไร ได้แต่เก็บมันเอาไว้ภายในอย่างเดียว มีเพียงแค่แม่เท่านั้นที่พอจะระแคะระคายสงสัยในพฤติกรรมของแมทธิว แต่ก็ไม่ได้เอะอะอะไรมากนัก นั่นทำให้เค้าต้องเก็บกดความต้องการเหล่านี้ไว้ในจิตใจ

โตขึ้น โลกกว้างขึ้น

อย่างไรก็ตามชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป แมทธิว เองก็เช่นกัน ชีวิตของเค้าเติบโตขึ้น นั่นทำให้เค้าได้ออกไปเผชิญโลกกว้างมากขึ้นด้วย เมื่อเข้าไปเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ทำให้เค้าได้เจอกับสังคมที่กว้างมากขึ้น รวมถึงสังคมที่เปิดกว้าง ต้อนรับเพศที่สามด้วย ในระดับมหาวิทยาลัย แมทธิว ได้พอปะสังสรรค์กับเพื่อนที่เป็นเกย์ด้วยกัน ทำให้เค้าพบว่าตัวเองไม่ได้ผิด ไม่ได้ประหลาดจากคนอื่นแต่อย่างใด จนทำให้เค้ารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น จนกล้ากลับไปบอกแม่ของเค้าว่า เค้าเป็นเกย์ ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่า รู้แล้ว นั่นเป็นการเปิดใจครั้งสำคัญของแมทธิวต่อครอบครัว

โศกนาฏกรรม

ช่วงชีวิตที่กำลังสดใสของ แมทธิว ก็จบลง เรื่องราวโศกนาฏกรรมเริ่มต้นขึ้นเมื่อเค้าได้ไปเที่ยวบาร์แห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นมีชายหนุ่มสองคนเข้ามาตีสนิทด้วยจากการแสดงว่าเป็นเกย์เหมือนกัน นั่นทำให้ทั้งหมดคุยกันอย่างถูกคอ หลังจากผับเลิกทั้งสองอาสาไปส่งแมทธิว เนื่องจากทางเดียวกัน จากนั้นทั้งสองก็จับตัว แมทธิว ไปยังทุ่งนาร้างห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง มัดไว้กับรั้ว แล้วทุบตีอย่างแรงพร้อมกับปล้นเงิน เครดิตการ์ดไปด้วย สุดท้ายปล่อยให้แมทธิวยืนกลางลมหนาวเย็นอย่างนั้นเป็นเวลานานกว่าจะมีคนไปช่วยเหลือก็ทำให้เค้าตายไปแล้ว  เป็นเรื่องอันน่าเศร้าของหนุ่มน้อยคนนี้มาก

ตํานานคําสาป วิหารโครงกระดูก 5000 คน

5000-skeleton

Capela dos Ossos หรือ วิหารโครงกระดูก เป็นโบสถ์ที่ตั้งอยู่ในเอโวรา ในตอนใต้ของโปรตุเกส โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 และเป็นส่วนหนึ่งของ Igreja Real de São Francisco โบสถ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดย Franciscans ผนังภายในตกแต่งด้วยกระดูกมนุษย์ดังตามชื่อของมัน Capela dos Ossos เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่รู้จักกันดี ในปัจจุบันนี้มันกลายเป็นที่นิยมมากที่สุดในเมือง Évora

ประวัติศาสตร์ของ Capela dos Ossos เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 16 ในช่วงเวลาดังกล่าวมีสุสานมากกว่า 43 แห่งใน Évora นั่นหมายความว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง ถูกใช้ไปกับการฝังศพผู้คนมากมาย แทนที่จะนำไปใช้สำหรับกิจกรรมที่มีประสิทธิผลมากกว่า เช่น การเกษตร การก่อสร้างอาคาร เมื่อถึงจุดหนึ่งก็มีการตัดสินใจแล้วว่า สุสานเหล่านี้ควรถูกทำลายลงเสียที เพื่อนำพื้นที่ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับเมืองมากยิ่งขึ้น ทำให้นักบวชฟรานซิสที่อาศัยอยู่ในเวลานั้น ตัดสินใจที่จะเก็บกระดูกของผู้ตาย และให้พวกเขาฝังในสถานที่ต่างๆ เพื่อที่วิญญาณของพวกเขาได้อยู่อย่างสงบ

เบื้องหลังการสร้างวิหารโครงกระดูก และคำสาปที่น่าสะพรึง

ในบางวัฒนธรรมการฝังศพสองครั้งเป็นเรื่องธรรมดา แทนที่พวกเขาจะฝังศพในดิน นักบวชฟรานซิสได้ตัดสินใจทำสิ่งที่แตกต่างออกไป ในช่วงศตวรรษที่ 16 การต่อต้านการปฏิรูปกำลังดำเนินไปดุเดือด และศาสนาต่างๆ ก็มีบทบาทสำคัญอย่างมาก นักบวชเหล่านี้ตัดสินใจที่นำกระดูกมาประดับในโบสถ์ เพื่อหวังว่าจะกระตุ้นให้ผู้มาเยี่ยมชมโบสถ์แห่งนี้มากขึ้น รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอ และความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ รวมถึงการสื่อว่า ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

การแบบนี้ของ Capela dos Ossos ได้แรงบันดาลใจจาก San Bernardino alle Ossa เป็นโบสถ์ในเมืองมิลาน โดยสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยโครงกระดูกมากมาย คาดว่ามีประมาณ 5,000 ศพถูกขุดขึ้นมาเพื่อใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ ตามตำนานแล้วนั้น กระดูกเหล่านี้เคยเป็นของทหารที่เสียชีวิตจากการสู้รบครั้งใหญ่ หรือตกเป็นเหยื่อของโรคระบาด อย่างไรก็ตามความจริงแล้ว กระดูกเหล่านี้ก็มาจากคนธรรมดาทั่วไป ที่ถูกฝังในสุสานสมัยกลางของ Évora

เรื่องน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของวิหารแห่งนี้ คือโครงกระดูกของชายทั้ง 2 หนึ่งในนั้นเป็นผู้ใหญ่ และอีกคนหนึ่งเป็นของเด็ก ซึ่งถูกแขวนไว้อยู่บนกำแพงของวิหารด้วยเชือก มีเรื่องราวตำนานกล่าวถึงสองบุคคลนี้เอาไว้ว่า ศพทั้งสองเป็นของผู้หญิงกับลูกของเธอ ที่ถูกสาปโดยผู้มีอำนาจในยุคสมัยก่อน ศพของพวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้ฝังในสุสานของเมือง ในที่สุดก็ได้ถูกส่งมาที่วิหารแห่งนี้  ตามอีกเรื่องหนึ่งศพผู้ใหญ่เป็นของชายที่เป็นชู้ กับเด็กที่เป็นลูกชาย ซึ่งทั้งคู่ถูกสาปโดยภรรยาที่โกรธแค้น

ไมเคิล แจ็คสัน king of pop ตลอดกาล

Michael Jackson, the king

นักร้องในวงการเพลงหากจะเปรียบไปก็มีมากเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แม้จะมากมายแค่ไหนก็จะมีดาวบางดวงที่ส่องสว่างเจิดจรัสกว่าดาวดวงอื่น เป็นเวลานานซึ่งเปรียบได้กับนักร้องที่แม้เค้าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ความโด่งดังของเค้ายังมีต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้อย่างเช่น ไมเคิล แจ็คสัน King of pop ที่ต้องใช้คำว่าตลอดกาลทีเดียว ทำไมเราถึงว่าอย่างนั้น เรามีคำอธิบาย

คาแรกเตอร์ไม่เหมือนใคร

ในยุคนั้น นักร้อง นักเต้นเกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ ไมเคิล แจ็คสัน ไม่เหมือนใครในตอนนั้นเลย ทั้งการร้อง การเต้น เค้าทำได้อย่างลื่นไหล ไม่ติดขัด เหมือนกับเค้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งการแสดงเพลงแต่ละเพลง แต่ละครั้งของเค้ามันเหมือนเค้าแสดงตัวตนของตัวเองตามเพลงได้อย่างถึงแก่น นอกจากนั้นคาแรกเตอร์นอกห้องอัด นอกเวทีของเค้าก็สุดโต่งจนหาคนเปรียบได้ยาก

เพลง ดนตรี ที่ลงตัวมาก

บางครั้งเวลาเราฟังเก่าๆ เราอาจจะคิดว่า เพลงนี้ทำไมดนตรีมันล้าสมัยกัน ดนตรีเก่าจัง ฟังแล้วดูไม่ชอบยังไงก็ไม่รู้ แต่หากเราไปฟังเพลงของ ไมเคิล แจ็คสัน เราจะไม่พูดแบบนั้นเลย เพลง เนื้อร้อง ดนตรี ท่าเต้น ทุกอย่างลงตัวมาก ซาวด์บางท่อนถือว่าล้ำมากในยุคนั้น แถมหากมาเปิดยุคนี้ก็บอกเลยว่าไม่เก่านะ ฟังแล้วเต้นตามได้เลย ไม่เชื่อลองไปเพลงที่ชื่อว่า Thriller จากยูทูปดูได้ รับรองว่าทุกคนจะต้องอึ้งในความสุดยอดของเพลงนั้นที่แม้ว่าจะผ่านมาเป็น 10 ปี แต่ซาวด์เพลงนี้กลับไม่เก่าเลย แถมยังทำออกมาได้ดีกว่าบางเพลงในยุคนี้เสียอีก

ท่าเต้นสุดคลาสสิคตลอดกาล

ไมเคิล แจ็คสันเค้าโด่งดังจากเพลงเร็วเป็นหลัก นอกจากเพลงท่าเต้นต้องมาด้วย อันนี้ต้องชื่นชมทีมงานแดนเซอร์ด้วยเต้นกันได้สุดยอดมาก แต่สุดของสุดต้องเป็นไมเคิล แจ็คสัน ที่เวลาเค้าเต้นแต่ละเพลงมันทำให้เราอยากเต้นตามท่าของเค้าแบบไม่รู้ตัว โดยเฉพาะท่าเต้นที่ทำให้ทั้งโลกรู้จักเค้า นั่นก็คือท่าเต้น มูนวอล์ค กับท่าลูบเป้า จากเพลง บิลลี่ จีนส์ สองท่านี้มันคือท่าสุดยอดคลาสสิคตลอดกาลของทุกท่าเต้นที่เคยเห็นมาจริงๆ

จากเหตุผลดังกล่าว ผู้เขียนต้องยอมรับว่าโชคดีจริงที่เกิดมาเห็นเค้าแสดงคอนเสิร์ต (แม้จะดูผ่านทีวี) ร้องเพลง เต้นจริงๆ ได้อยู่ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของเค้า ชายคนหนึ่งที่ร้อง เต้น สนุกสนานบนเวทีจนได้รับฉายาว่า King of Pop และคงไม่มีใครโค่นฉายานี้ลงได้ไปอีกหลายสิบปีทีเดียว

ตำนานคําสาป…ตุตันคาเมน

Legend of the Unknown

ถ้าพูดถึงหนึ่งในคำสาปที่มีอาถรรพณ์อันแรงกล้า หลายๆ คนคงนึกถึงคำสาปของอียิปต์โบราณ โดยเฉพาะคำสาปจากของสุสานกษัตริย์ ซึ่งเป็นคำสาปที่ขลังและดุร้ายมากที่สุด ชาวอียิปต์โบราณมีความศรัทธาในเรื่องชีวิตหลังความตายมาก โดยมีความเชื่อกันว่าคนที่ตายไปแล้วสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้ เพราะฉะนั้นชาวไอยคุปต์จึงนิยมเก็บซากศพไว้เป็นอย่างดี พร้อมบรรจุกับของใช้ ของมีค่า เอาไว้มากมาย รอวันจะกลับฟื้นคืนมาในอนาคต บางครั้งจึงทำให้พวกขโมยสนใจในสิ่งของเหล่านี้ และการร่ายคำสาปก็เป็นทางแก้ของคนสมัยโบราณนั่นเอง

ต่อมามีการค้นพบสุสานของยุวกษัตริย์สำคัญองค์หนึ่งผู้มีนามว่า ตุตันคาเมน ความจริงแล้ว ตุตันคาเมน ไม่ได้เป็นนักปกครองผู้เก่งกาจอะไร หรือมีความโดดเด่นทางด้านทักษะส่วนตัวใดๆ แต่ชื่อเสียงของพระองค์เป็นเพราะการค้นพบสุสานที่จัดว่าสมแบบบูรณ์ที่สุด ถึงแม้ว่าสุสานของพระองค์จะถูกขโมยไปบ้างบางชิ้น แต่ก็ไม่ได้เสียพระราชทรัพย์สำคัญไปมากเท่าไหร่ แต่แล้วนักสำรวจก็เจอกับข้อความ ” มรณะจะโบยบินมาสังหารผู้รังควานสันติสุขแห่งองค์ฟาโรห์ ” ซึ่งต่อมามันก็สำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นจริงๆ

เหล่าบรรดาผู้ใกล้ชิดกับการเปิดสุสานและหีบศพของพระองค์ ล้วนต้องตายด้วยลักษณะแปลกๆ ถึง 22 คน 50 ปีต่อมาก็ยังมีการตายที่น่าแปลกซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของคำสาปมันแสดงพลังอีกครั้ง

สุสานของตุตันคาเมนถูกค้นพบอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1922 ต่อมาผู้เข้าร่วมพิธีก็ได้เสียชีวิตไป 22 คน ต่อมาเป็นเวลาอีก 50 ปี ได้มีการจัดแสดงสมบัติตุตันคาเมนเพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งการเปิดสุสาน ก็เกิดการตายอีกครั้งอย่างไม่น่าเป็นไปได้

ปี ค.ศ. 1972 หลังจากที่ทางราชการอียิปต์ได้นำสมบัติสำคัญๆ มาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์กรุงไคโร ทางอังกฤษก็คิดจะจัดเสดงสมบัติตุตันคาเมน ขึ้น ณ กรุงลอนดอนเพื่อฉลองครบรอบ 50 ปี ที่ได้เปิดสุสาน โดยบุคคลสำคัญที่เป็นกำลังหลักในการลำเลียงสมบัติออกจากพิพิธภัณฑ์ คือ ดร.กามาล เมห์เรช เขาเป็นผู้นำเอาครอบพระพักตร์และโลงศพทองคำออกมาจากที่เก็บ แล้วบรรจุอย่างดีพร้อมส่งขึ้นเครื่องบินไปยังลอนดอน โดยตัวของเขาเองนั้น ไม่เคยเชื่อเรื่องคำสาปเลยแม้แต่น้อย ขนาดมีผู้คนเสียชีวิตไปถึง 22 คน เขาก็ยังคิดว่ามันเป็นเพียง ‘เหตุบังเอิญ’ แต่แล้ว ดร.กามาล เมห์เรช อธิบดีวัย 52 ปี ผู้มีร่างกาย แข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วยเลยแม้แต่น้อย จู่ๆ ก็เป็นลมในห้องทำงาน และเสียชีวิตโดยยังไม่ทันได้นำส่งโรงพยาบาลเลย ทางด้านแพทย์ก็ให้ความเห็นว่าเป็นอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

ตำนานเพชรโฮปอัญมณีสุดล้ำค่า

Hope Diamonds priceless.

เพชร คือ อัญมณีอันสุดแสนจะล้ำค่า ที่สาวๆ หลายๆ คนอยากมีไว้ในครอบครอง แต่มีเพชรอยู่เม็ดหนึ่งที่มันมีมากกว่าความสวย นั่นก็คือมันพ่วงมาด้วย ‘คำสาป’ ความเฮี้ยน ที่ทำให้ผู้ครอบครองมีอันเป็นไปอย่างน่าสยดสยอง เพชรเม็ดนี้ มีชื่อว่า “Hope Diamond ” เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นจาก พ่อค้าชาวฝรั่งเศส นาม Jean Baptiste Tavernier เขาได้ซื้อเพชรดิบน้ำหนัก 112 3/16 กะรัต จากเหมือง Kollur , เมือง Golconda ประเทศอินเดีย และนำมาถวายต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในปี ค.ศ. 1668 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงได้สั่งให้ช่างเพชรเจียระไนให้ออกมางดงาม ต่อมาจึงรู้จักกันในชื่อว่า “Blue Diamond of the Crown” หรือ “French Blue” โดยได้มีการนำไปประดับอยู่บนสายอิสริยาภรณ์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ใช้สวมในพิธีต่างๆ ต่อมาเพชรก็ได้ตกทอดมาสู่ พระนาง Marrie Antoinette แต่หลังจากเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่เพชรก็ได้หายไป

มาถึงปี ค.ศ. 1830 Henry Philip Hope ได้เจอเพชรเม็ดนี้และซื้อมันไว้ หลังจากนั้นอีก 9 ปีต่อมาเขาก็ได้เสียชีวิตลง ทำให้เพชรตกทอดไปยังญาติพี่น้องตระกูลโฮป ในปี ค.ศ.1906 ก็ได้มีการผ่านจากมือของสมาชิกในครอบครัวโฮป ไปตกอยู่ในมือของตัวแทนจำหน่ายเพชรชาวเปอร์เซีย ต่อมาเขาก็ได้ฆ่าตัวตาย ส่วนเจ้าของคนถัดมาก็คือ เจ้าชายคานิตอฟกีแห่งรัสเซีย ท่านทรงซื้อเพชรเม็ดนี้ไว้ พร้อมมอบเป็นของขวัญให้แก่นางสนม เพื่อใส่ไปแสดงละคร แต่ในขณะที่เธอกำลังแสดงอยู่นั้นจู่ๆ เจ้าชายก็ทรงสังหารเธอด้วยปืน อีก 2 วันให้หลัง พระองค์ก็ถูกปลงพระชนม์โดยนักปฏิวัติชาวรัสเซีย

ผู้ครอบครองคนต่อมา คือ ชาวอียิปต์ที่ต้องจมน้ำตายทั้งครอบครัว เพราะอุบัติเหตุเรือสำราญชนกันที่สิงคโปร์ นายหน้าจึงได้นำเพชรเม็ดนี้ไปขายให้แก่สุลต่านแห่งตุรกี แต่นายหน้าคนนี้ก็ต้องเสียชีวิตพร้อมทั้งภรรยาและลูกจากเหตุการณ์รถยนต์ตกหน้าผา ทางด้านสุลต่านแห่งตุรกีก็ได้มอบเพชรเม็ดนี้ให้แก่พระสนม แต่ตอนที่ทหารของพระองค์กำลังก่อการรัฐประหาร กระสุนปืนได้พลาดไปถูกพระสนมจนตาย สุลต่านถูกเนรเทศ ส่วนขันทีผู้ดูแลรักษาเพชรก็ถูกจับแขวนคอ

จากนั้นบริษัท Cartier ก็ซื้อเพชรไว้ แล้วนำไปขายต่อให้กับครอบครัว McLean คำสาปสำแดงเดชอีกครั้ง เมื่อลูกชายวัย 8 ขวบของพวกเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ส่วนบุตรสาวกับหลานสาว ก็ตายเพราะใช้ยา Barbiturate เกินขนาด ส่วน Edward McLean ก็พบว่ามีอาการคลุ้มคลั่ง , วิกลจริต และเสียชีวิตในโรงพยาบาลโรคจิต สุดท้าย Harry Winston พ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อ “ Hope Diamond ” และมอบให้แก่สถาบัน Smithsonian Institute ในกรุง Washington, D.C.

ประวัติของพระพุทธเจ้า

History of the Buddha

พระพุทธเจ้าคือศาสดาของพระพุทธศาสนา คนบนโลกใบนี้หากใครก็ตามนับถือศาสนาพุทธก็จะต้องนับถือพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน ซึ่งประวัติของพระองค์ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย ลองมาทำการศึกษารายละเอียดให้เข้าใจกันแต่ละช่วงเวลาว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ประสูติพระพุทธเจ้า

ค่ำคืนวันที่พระองค์เสด็จปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางสิริมหามายา พระนางได้ทรงนิมิตสุบินว่า มีช้างเผือกงาสามคู่เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ แท่นบรรทม ก่อนจะมีพระประสูติกาล ใต้ต้นสาละ สวนลุมพินีวัน วันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ทันทีที่พระองค์ได้ประสูติออกมาได้มีพระนามเดิมว่าสิทธัตถะ พร้อมทั้งเดินบนดอกบัวทั้งหมด 7 ก้าว มีการเปล่งวาจาตรัสว่า เราเป็นเลิศสุดในโลก ประเสริฐสุดในโลก การเกิดครั้งนี้คือครั้งสุดท้ายของเรา หลังประสูติกาลได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคต ทำให้เจ้าชาจสิทธัตถะถูกเลี้ยงดูโดยพระนางประชาบดีโคตมี พระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา มีพราหมณ์ได้ทำนายว่า หากเป็นฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่แต่ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก

ชีวิตวัยเยาว์

เจ้าชายสิทธัตถะได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ ทั้งหมด 18 ศาสตร์ พร้อมกันนี้พระบิดาไม่ต้องการให้เป็นศาสดาเอกจึงพยายามทำให้เจ้าชายมีความสุขพร้อมให้ราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ พออายุได้ 16 ปีทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพาหรือพะรนางยโสธรา มีบุตร 1 พระองค์นามว่า ราหุล

ทรงออกผนวช

วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อหน่ายในชีวิตปกติพระองค์ชวนสารถีทรงรถม้าประพาสยังอุทยานทรงได้เห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย และนักบวช ทำให้พระองค์คิดว่าวิธีการจะละพ้นจากความทุกข์คือการครองเพศสมณะ ทำให้พระองค์ทรงออกบรรพชา เมื่อพระชนม์มายุ 29 พรรษา เมื่อพระองค์ไดทรงผนวชแล้วก็มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำคยา แคว้นมคธ พยายามเสาะแสวงหาวิธีการพ้นทุกข์ ได้เข้าศึกษาสำนักต่างๆ แต่เมื่อศึกษาแล้วก็ยังไม่พบว่านี่คือทางพ้นทุกข์ พระองค์จึงเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาแต่ก็ยังไม่พบว่านี่คือหนทางพ้นทุกข์ บรรดาปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ก็เสื่อมศรัทธาและเดินทางกลับ

ทรงตรัสรู้และเผยแพร่คำสอน

พระองค์ได้นั่งสมาธิใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมืองพาราณสี จนในที่สุดพระองค์ก็ทรงตรัสรู้ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะมีพระชนม์ 35 พรรษา พระองค์ได้ทรงออกแสดงธรรมเทศนาเรื่องการพ้นทุกข์ให้กับคนรอบตัวและผู้อื่นจนเกิดความเลื่อมใส

เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานใต้ต้นไม้ใหญ่สาละ ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ทั้งสิ้น 80 พรรษา และหลังจากพระองค์ดับขันธปรินิพพานก็ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช

ประวัติของจักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire)

History of the Persian Empire

ในอดีตเมื่อพูดถึงดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีอารยธรรมจนทำให้คนยุคนี้สามารถศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของมนุษย์ยุคก่อนได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นคงหนีไม่พ้นจักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire) ดินแดนซึ่งบอกได้ว่ามีความน่าสนใจในหลายมุมมอง มีประวัติศาสตร์แสนยาวนาน ถือว่านี่คือความน่าสนใจที่นักประวัติศาสตร์นิยมศึกษาและทำความเข้าใจกันอย่างมากเลยก็ว่าได้สำหรับดินแดนแห่งนี้

เรียนรู้ประวัติของจักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire)

ชาวเปอร์เซียจัดเป็นชาวอินโดอารยันกลุ่มหนึ่งถิ่นกำเนิดในปัจจุบันก็คือประเทศอิหร่าน มีการก่อสร้างบ้านเรือนบริเวณดังกล่าวขึ้นมาจนกลายเป็นอาณาจักร มีปฐมกษัตริย์นามว่า อาเคมีเนส แห่งราชวงศ์อาเคเมนิค กระทั่งถึงสมัยพระเจ้าไซรัส เปอร์เซียได้ทำสงครามกับอาณาจักรลิเดียแห่งพระเจ้าคริซุสอันถือได้ว่าเป็นอาณาจักรร่ำรวย มั่งคั่ง เข้มแข็ง แต่พวกเขาก็สามารถเอาชนะอาณาจักรลิเดียได้นั่นคือจุดเริ่มต้นอันแท้จริงแห่งความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire) หลังเอาชนะอาณาจักรลิเดียได้พระเจ้าไซรัสก็ได้แผ่ขยายอำนาจการปกครองไปยังดินแดนต่างๆ รอบข้างกระทั่งยึดกรุงบาบิโลนได้สำเร็จในปี 539 ก่อนคริสตกาล ส่งผลให้พระองค์สามารถครองพื้นที่บริเวณเมโสโปเตเมียได้ทั้งหมด จากนั้นได้เข้ายึดครองพื้นที่อียิปต์ส่งให้จักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire) ก้าวขึ้นสูจุดสูงสุดและพระเจ้าไซรัสเองได้รับการขนานนามให้เป็น มหาราช ศูนย์กลางของจักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire) ในอดีตพื้นที่ปัจจุบันคือประเทศอิหร่าน แต่เดิมเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งนี้มีชื่อว่า กรุงเอคบาทานา แต่พอพระเจ้าไซรัสได้ขึ้นครองราชย์มีการสร้างเมืองใหม่ที่ เปอร์ซีโปลิส ก่อนจะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการปกครองล่วงไปถึงรัชกาลของพระเจ้าดาริอุสที่หนึ่ง พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ขึ้นมาชื่อว่า นครสุสา ชาวเปอร์เซียทั่วไปนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ถือเป็นศาสนาประจำอาณาจักร ยืดเอาคัมภีร์อาเวสตา เป็นคัมภีร์อันมีความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลแบ่งออกเป็นฝ่ายดีและชั่ว มีเทพเจ้าแห่งความดีชื่อ อหุรมัสดา เป็นเทพสูงสุด และมีอัครทูตพร้อมเทวทูตจำนวนมากเป็นบริวาร

ในช่วงเวลาดังกล่าวต้องยอมรับว่าจักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire) ถือเป็นอาณาจักรที่มีประวัติศาสตร์ อารยะธรรมเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้างเขื่อน ฝาย รางส่งน้ำ เพื่อใช้สำหรับการเพาะปลูก มีระบบชลประทานใต้ดินเรียกว่า คานัต ใช้สำหรับส่งระบบน้ำเข้าสู่เมือง ด้านสถาปัตยกรรมก็มีความโดดเด่นเรื่องการสร้างพระราชวัง การนำเอาศิลปะต่างๆ มาผสมผสานอย่างลงตัว ด้านการทหารมีการพัฒนาจนก้าวไกลเกินหน้าดินแดนอื่นๆ และเป็นกองทัพที่ดีที่สุดในยุคนั้นเลยทีเดียว ถือว่านี่คืออาณาจักรแห่งประวัติศาสตร์ที่คนในยุคนี้ยังต้องศึกษาหลายด้านในความน่าสนใจ

หญิงสาวที่มีคดีทารุณกรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดในโลกเป็นใคร

Who is the worst sex offender in the world-s

murder  ในปี 1990 มีเหตุการณ์ของคดีความทารุณกรรมทางเพศที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเกิดขึ้น  เมื่อมีครอบครัวหนึ่งสร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญให้กับคนทั้งโลก ผู้หญิงคนหนึ่งมีชื่อว่า โรสแมรี่ และมีแฟนหนุ่ม ชื่อ เฟร็ด  ถูกจับกุมหลังจากก่อเหตุฆ่าลูกสาวตัวเองและซ่อนศพเอาไว้ภายในบ้าน เหตุการณ์ไม่เป็นแค่เช่นนั้นภายหลังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวทั้งคู่แล้ว ยังพบศพอีกมากมายที่ถูกซ่อนภายในบ้าน สองคนสามีภรรยาคู่นี้มีจิตวิปริตไม่ปกติเลย ทั้ง 2 คน ล่อลวงหญิงสาวมากมายมาข่มขืน ทารุณกรรมทางเพศแบบผิดมนุษย์ และจุดจบของผู้หญิงทุกคนก็คือฆ่าทิ้ง และยังหั่นศพแยกชิ้นส่วนศพออก แต่เรื่องราวที่โหดร้ายที่สุดในคดีนี้ คือ  โรส และ เฟร็ด ได้ร่วมกันฆ่าลูกสาวคนโตทิ้ง เพราะเนื่องจากลูกสาวของพวกเขานำความลับนี้ไปเล่าหรือบอกต่อให้เพื่อนๆ ของเธอฟัง ในการก่อคดีสะเทือนขวัญครั้งนี้ ถูกจับได้เนื่องจากลูกสาวของเธอได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เพื่อนบ้านเป็นคนแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกับเรื่องราวประหลาดๆ   เพราะสังเกตได้ว่า ลูกสาวของเธออยู่ดีดีก็หายตัวไป  และเมื่อสอบถามจากโรสและเฟร็ดทั้ง 2 คน ก็บอกว่าลูกสาวของพวกเขาได้หนีออกบ้าน แถมพูดกับทุกคนว่าลูกสาวเป็นเลสเบี้ยน แต่เพื่อนบ้านไม่มีใครเชื่ออย่างที่พวกเขาเล่ามาเลย จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำตรวจเพื่อตรวจค้น ภายในบ้าน แต่สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดคือ เมื่อยิ่งค้นหายิ่งพบเจอศพอยุ่ภายในบ้านไม่ต่ำกว่า 10 ศพ แต่โรสก็ไม่ได้ให้การใดๆ ทั้งสิ้น ส่วน เฟร็ด นั้น ให้การรับสารภาพหมดเปลือกรวมไปจนถึงเรื่องฆ่าลูกสาวตัวเองด้วย เนื่องจากตอนที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นภายในบ้านพบศพของลูกสาวที่ถูกหั่นและแยกชิ้นส่วนรวมปะปนอยู่กับศพอื่นๆ อีกด้วย ต่อมาไม่นานหลังจากที่สารภาพผิดได้ไม่นาน เฟร็ด ผูกคอตาย ส่วน โรส ไม่มีทีท่าจะสำนึกผิดแต่อย่างใด และยังคงใช้ชีวิตตามปกติ จนศาลตัดสินให้โรสจำคุกตลอดชีวิต คดีนี้โด่งดังอย่างมาก มีการณ์นำมาเขียนและพูดถึงใหม่เกือบทุกปีนับว่าเรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนจิตใจคนอ่านไม่น้อยเลยทีเดียว

รู้หรือไม่ว่าฆาตกรที่น่ารักที่สุดในโลกคือใคร

Do you know who the cutest murderer in the world is

Nut Fujitsu                 เรื่องราวของฆาตกรตัวน้อยเธอได้รัยฉายาและขึ้นอยู่ในประวัติสตร์โลกว่า ฆาตกรที่น่ารักที่สุดในโลกและที่มาของคำนี่ก็คือ เสื้อของฆาตกรนั้นเอง เด็กหญิงนัทสึมิ ซึมิ อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องราวสะเทือนขวัญคนทั้งโลกนี้ เกิดขึ้นที่ เมืองซาเซโบ นางาซกิ ในประเทศญี่ปุ่น มีการฆาตกรรมสะเทือนขวัญเกิดขึ้น และยังเป็นคดีที่โด่งดังอย่างมากเป็นประวัติศาสตร์ของโลกเลย เนื่องจาก นัทสึมิ ได้ก่อเหตุน่ากลัวขึ้นคือ ฆ่าเพื่อนร่วมชั้นกับเธอและเป็นเพื่อนคนเดียวที่เธอสนิทและคบหาด้วย นัทสึมิเป็นเด็กเงียบ และไม่ยุ่งหรือไปสุงสิงกับใครมากนัก แต่ค่อยข้างที่จะมีอารมณ์โมโหรุนแรง ก้าวร้าว แต่ที่น่าแปลกคือ นัทสึมิ เป็นเด็กที่มีไอคิวสูงถึง 140 ซึ่งนับว่าเข้าข่ายเด็กอัจฉริยะเลย ผลการเรียนของเธอก็ไม่แย่ วันที่ 27/05/2004 นัทสึมิ ได้ทะเลาะกับเพื่อนสนิมของเขาที่มีชื่อว่า ซาโตมิ เรื่องที่ทั้ง 2 คนทะเลาะกันนั้น เป็นเพราะคำพูดเพียงแค่ว่า “หนัก” ที่ซาโตมิไปคอมเม้นท์แซว นัทสึมิ ในบอร์ดไดอารี่ของ นัทสึมิ จึงเป็นเหตุที่ทำให้ นัทสึมิ โกรธเคืองและไม่พอใจเพราะ นัทสึมิ ถือว่าเป็นคำหยาบคาย และนี่คือสิ่งที่จุดประเด็นเบื้องต้นที่ทำให้แค้นและมีความคิดที่อยากจะฆ่า ซาโตมิ วันที่ 28/05/2004 นัทสึมิได้เขียนวิธีการฆ่าขึ้นมา 3 แบบเพื่ออ่านการฆ่าที่ นัทสึมิ เขียนในไดอารี่นั้นมี มีดคัตเตอร์ ที่เจาะน้ำแข็ง หรือจะบีบคอ ต่อด้วยประโยคที่เขียนว่า “วันนี้จะฆ่ามันแต่ทำไมได้ …” และในวันต่อมาคือ 29/05/2004 นัทสึมิ ได้คุยกับ ซาโตมิ ในบอร์ดไดอารี่เพื่อบอกว่าให้ยอมขอโทษเธอสะแต่ ซาโตมิ กลับไม่ยอมขอโทษแถมยังมาคอมเม้นท์ในบอร์ดของ นัทสึมิ ว่า “อวดเก่ง” นัทสึมิ พยายามลบอยู่หลายครั้งแต่ ซาโตมิ ก็ยังมาทำใหม่ทำให้ นัทสึมิ โกรธแค้นอย่างมากและได้พูดคำสุดท้ายว่า “แกหายไปจากโลกสะเถอะ..” วันที่ 31/05/2004 เป็นวันสุดท้ายที่เธอเขียนไดอารี่วันสุดท้ายว่า “วันพรุ่งนี้ฉันจะฆ่ามันด้วยมีดคัตเตอร์..” วันสุดท้ายคือวันที่ 1/6 /2004 นัทสึมิ ได้เรียก ซาโตมิ ไปคุยในห้องเรียนโล่งๆ ห้องหนึ่งและบอกกับ ซาโตมิ ให้นั่งลงบนเก้าอี้ ซาโตมิ ไม่ได้กลัวเพราะไม่คิดว่า นัทสึมิ จะกล้าทำจึงนั่งลงจากนั้น นัทสึมิ ได้เอามือปิดตา ซาโตมิ และเชือดคอจนหลอดลมขาดเธอยืนรอดู ซาโตมิ อยู่ประมาณ 15 นาทีและเห็นว่าตายแล้วเธอก็เดินออกไป เมื่อครูและเพื่อนๆ คนอื่นเห็นเลือดที่เต็มเสื้อผ้าของ นัทสึมิ ก็ตกใจพากันถ่ายรูป นัทสึมิ เธอหันไปยิ้มให้กล้องโยไม่มีที่ท่าตกใจเลยแม้แต่น้อย เรื่องราวของ นัทสึมิ ถูกนำไปทำเป็นการ์ตูน เกมคอมพิวเตอร์ และยังมีนักร้องที่นำคำว่า NEVADA ไปตั้งชื่อวงอีกด้วย และที่มาของคำว่า NEVADA มาจากตัวอักษรที่เสื้อของ นัทสึมิ เป็นเสื้อที่ใส่ก่อเหตุนั้นเอง

ผู้หญิงที่ก่อคดีฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก

The woman who murdered the world's most brutal murder

คดีประวัติศาสตร์นี้ ได้เกิดจากการฆาตกรรมโดยใช้วิธีที่โหดร้ายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเลยก็ว่าได้ ฆาตกรนั้นถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรจิตวิปริต ฆ่าด้วยการถลกหนังของเหยื่อออก ฆาตกรรายนี้เป็นผู้หญิงเธอมีชื่อว่า แคทเธอรีน เธอมีอายุ 56 ปี ข้อกล่าวหาของเธอคือ จิตวิปริตและฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แคทเธอรีนนั้นถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมภายในสถานที่เกิดเหตุ แคทเธอรีนเธอถูกควบคุมตัวอยู่ที่ ทัณฑสถานหญิงมูลค่าในเมืองนิวเซาท์เวลล์ แต่ระหว่างที่เธอโดนจับกุมนั้นเธอก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะเธอพยายามสู้คดีมาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เป็นผลดีกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แคทเธอรีน นั้นได้เคยมีสามีมาทั้งหมด 3 คน สามี 2 คนแรกของ แคทเธอรีน ได้หย่าร้างเลิกรากันไปเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งสาเหตุที่เลิกกับอดีตสามีทั้ง 2 คน นั้น คือ เพราะ แคทเธอรีนมีอารมณ์ที่รุนแรงมาก ชอบทะเลาะและลงไม้ลงมือกันมาตลอด สามีคนที่ 2 ของเธอเล่าว่าครั้งสุดท้ายที่เธอกับเขาทะเลาะกันแคทเธอรีน Katherine Knight นำมีดทำอาหารมาจ่อคอของเขาด้วย เพื่อนบ้านในละแวกนั้นก็บอกว่าเธอทะเลาะกับ สามีคนปัจจุบันของเธอบ่อยครั้งและเหมือนว่าสามีของเธอพยายามบอกเลิกกับเธอ แต่เธอไม่ยอมและตามตื้อและง้ออยู่เป็นเวลาซักพักใหญ่ แต่สามีของเธอไม่อยากอยู่กับเธอแล้วแต่ยังมามีเพศสัมพันธ์กันอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง แคทเธอรีน เกิดคิดขึ้นมาว่าเธอเหมือนตัวตลก เหมือนถูกหลอก เธอจึงตัดสินใจแทงสามีของเธอ 37 แผล หลังจากที่กระหน่ำแทงด้วยความแค้นแล้ว แคทเธอรีน ก็ถลกหนังของสามีเธอไปแควนกับประตูที่ห้องนั่งเล่น และตัดหัวไปทำน้ำซุป เตรียมจัดอาหารให้กับลูกเลี้ยงของเธอ เมื่อเตรียมอาหารแล้วเธอออกไปกดเงินของเธอและซื้อเหมือนกับว่าจะกำลังจัดงานเลี้ยง กลับมาถึงบ้านเธอหลับพักผ่อนดื่มไวท์กับอาหารที่ซื้อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าตอนที่เจอกับ แคทเธอรีน นั้น เธอไม่รู้สึกอะไรยิ้มและท่าทางของเธอค่อนข้างที่จะมีความสุขอย่างมาก คดีความของเธอจึงกลายเป็นคดีในประวัติศาสตร์ที่สะเทือนขวัญอย่างมาก ศาลได้ตัดสินให้ แคทเธอรีน จำคุกตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยต้องโทษคดีใดๆ เลยก็ตามแต่ การก่อเหตุของเธอครั้งนี้คือการ ฆ่าโดยเจตนาและมีความสุขกับการก่อเหตุ และที่สำคัญการกระทำของเธอนั้นเป็นการกระทำของคนที่ตั้งใจที่จะทำและเป็นคนที่ชำนาญการถลกหนังนั้นเอง